วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

วินัยใหม่ พลังความคิด-ตอน ไวรัสทางความคิด

ความสับสนเกิดขึ้นจากการไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไร ทำอย่างไร อะไรที่เป็นมาตฐาน ขอบเขตอยู่ที่ไหนตรงไหน ระดับไหน จะถือว่าถูกต้องอยู่ที่ระดับไหน ถือว่าผิดเอาอะไรเป็นมาตฐาน ตอนนี้ผมจะยกตัวอย่าง เรื่องง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน

ประการแรก เราต้องมีฐานข้อมูลที่ถูกในความคิดและจิตใจของเราก่อน เหมือนคอมพิวเตอร์ที่มี โปรแกรมหลักเพื่อปฎิบัติการ และโปรแกรมป้องกัน เพื่อการละเมิดลิขสิทธิ์และไวรัส เมื่อไหร่ เราใส่โปรแกรมผีที่มักซ่อนสปายแวร์หรือไวรัสเข้าไป มันจะฟ้อง ป้องกัน และไม่ยอมรับโปรแกรมเหล่านี้ ให้เข้าไปทำงานในคอมพิวเตอร์ของเราได้ แล้วโปรแกรมหลักและโปรแกรมป้องกันนี้คืออะไรล่ะ

“สภษ12:8 คนจะได้คำชมเชยตามสามัญสำนึกที่ดีของเขา แต่คนที่ความคิดตลบตะแลงก็เป็นที่ดูหมิ่น”
พระวจนะตอนนี้สอนเราว่า สามัญสำนีกที่ดีนำสู่การประพฤติที่ดี แล้วหากประพฤติดี ก็จะมีผู้ชมเชย จากผลการประพฤตินั้น การประพฤติที่ดีเกิดจากสามัญสำนึกที่ดีในชีวิต เราจะสร้างสามัญสำนึกที่ดีได้อย่างไรล่ะ มีสามทางครับ มีวิธีสร้างง่าย ๆ คือ เราต้องมีความคิดสว่าง คิดสะอาด คิดสงบ

คิดสว่าง คือ สิ่งที่ท่านคิดนั้น เมื่อท่านนำความนั้นเอามาเล่าในความสว่างใครก็รับได้ สามารถเอามาพูดแล้วคนไม่สะดุด ไม่ตกใจ ไม่อับอาย ไม่ผิดต่อคุณความดี คุณธรรม ความสว่างคือความดี ความมืดคือความชั่ว สิ่งใดที่แอบทำใคความมืด แอบคิดในความืด หลบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่ถือว่าคิดแบบคนมีความสว่างคับ

คิดสะอาด คือ คิดเรื่องสะอาดไม่สกปรก ลามก ไม่ผิดศิลธรรม หรือกฎหมาย คิดแล้วไม่ต้องมาสารภาพบาป หรือละอายใจทีหลัง เล่าให้ใครฟัง ก็ไม่ต้องกลัวว่าผู้คนจะดูถูกดูหมิ่นในความนี้

คิดสงบ คือ เรื่องที่คิดแล้วหากใครได้ยิน ใครรับฟังความคิดของเราแล้วก็เกิดความสงบ ไม่เดือดร้อนเป็นไฟให้เกิดความวุ่นวาย และที่สำคัญตัวเราคิดแล้ว เราก็เกิดความสงบสุขในใจ เล่าเรื่องนี้แล้ว ทุกคนสบายใจ สงบสุข แบบนี้ต้องหาทาง และฝึกเรียนรู้ครับ

เห็นหรือยังครับ หากเรามีมาตฐานทางความคิดแล้วอะไรที่กำลังคิดมันไม่สว่างไม่สะอาด ไม่สงบ เราก็ไม่คิด เราก็มีมาตฐานเดียว ในการคิดก็จะง่ายต่อการตัดสินใจ ละเลือกที่จะทิ้งหลายต่อหลายเรื่องที่มันแวะมาเยี่ยมในสมองของเรา ครับ จำไว้ อย่ารับแขกแปลกหน้าที่ไม่ได้เชิญ ที่ไม่สว่าง ไม่สะอาด ไม่สงบเลย

วันอังคารที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2553

ตอนต้องมีขอบเขตบางเรื่องในการคิด

สภษ.27: 19 “ในน้ำ คนเห็นหน้าคนฉันใด ความคิดของคนก็ส่อคนฉันนั้น”

เราต้องสร้างระบบความคิดของเราให้ดี เหมือนเราจะประกอบรถยนต์คันหนึ่ง เราต้องรู้ว่าควรจะมีสามส่วนใหญ่ ๆ คือ เครื่องไฟฟ้า อุปกรณ์อะไหล่ที่จะนำมาประกอบเป็นรถ และสุดท้ายอุปกรณ์ที่จะใส่พวกเชื้อเพลิง สามส่วนนี้จะทำให้รถวิ่งไปได้ แต่หากว่าเราเอาอะไรที่ไม่ใช่ส่วนประกอบใส่รวม ๆ เข้าไปไม่คัดแยก เช่นใส่อุปกรณ์ใบพัดสำหรับครื่องบิน หรือใบพายสำหรับเรือแจวเข้าไปในรถ มันคงจะรกมากกว่าเป็นรถ และมองไม่ออกว่าสิ่งที่เราจะสร้างคืออะไร

เหมือนกันชีวิตที่พระเจ้าสร้างเรามา มีสามส่วน คือ จิตใจ ร่างกาย จิตวิญญาณ เราควรมีความคิดที่เป็นอาหารที่ทำให้สามส่วนเจริญขึ้น นั่นคือ ความเชื่อในศาสนาที่ทำให้เรามีคุณธรรม ทำความดีแก่ผู้อื่น มีความรักในตัวเองก็จะทำให้เราดูแลสุขภาพ และละทิ้งสิ่งใดที่ทำให้เราคิด เราทำ เรามีอารมณ์ที่แย่ลง หรือทำในสิ่งที่เป็นอบายมุข และสุดท้ายก็คือ ความหวัง เป็นคนมีพลัง มีกำลังใจพร้อมที่จะต่อสู้ มีทัศนคติที่ดีและมองโลกด้วยความเป็นธรรม ไม่มองในแง่ดีจนเกินไปจนมองไม่เห็นความชั่วร้าย ไม่มองอะไรชั่วร้ายจนเกินไปจนไม่มีความสมดุลย์ครับ

ระบบความคิดที่ดีนั้น มักจะมาจากการมีความรู้ ความเข้าใจ หรือมีฐานข้อมูลที่ดี เรื่องนี้เคยกล่าวไปแล้ว แต่ตอนนี้จะแนะนำสิ่งที่เป็นเครื่องตัดสินใจในการคิด

ประการแรก หากเราคิดเรื่องหนึ่งเรื่องใด เราคิดสิครับว่า เรื่องนี้จะทำให้เราเจริญขึ้นด้วยอารมณ์ ปัญญา หรือนำไปปฎิบัติแล้วจะทำให้ดีขึ้นไหม

อีกประการหนึ่ง คือ สิ่งที่คิดผิดจริยธรรมไหม และสิ่งที่คิดจิตใจได้ฟ้องผิดหรือขัดแย้งในตัวเองหรือเปล่า อีกอย่างในเมื่อเราเป็นคริสตชนเรื่องนี้สำคัญ หากพระเยซูคริสต์ทรงคิดเรื่องนี้พระองค์จะคิดแบบเราหรือเปล่าครับ เสมือนสนามฟุตบอลที่มีการแข่งขัน หากไม่มีเส้น ไม่มีกรรมการ หรือไม่มีกติกา นักฟุตบอลคงเตะฟุตบอลไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีที่สิ้นสุด โดยไม่มีโกลล์เป็นเป้าหมาย อีกกี่ปีพวกเขาจะเล่นจนจบการแข่งขัน ความคิดของเราก็เป็นแบบนั้น ครับ ต้องมีเส้นขีดชัดเจน

วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2553

ตอน ความรู้สู้ปัญญาไม่ได้การบำบัด ตอนที่ 20 วินัยใหม่ พลังความคิด

หมวดการบำบัด ตอนที่ 20 วินัยใหม่ พลังความคิด
ตอน ความรู้สู้ปัญญาไม่ได้

ความคิดของเรา ก็เหมือนกล่องเปล่า ๆ เล็ก ๆ หากเราเอาทรายใส่ลงไปในกล่อง แล้วเทน้ำลงไปในกล่องทราย น้ำก็จะซึมลงไปมันก็หายไป หากเราวางรากฐานโดยเอาดินเหนียวใส่ลงไปในกล่อง เวลาเอาน้ำเทลงไปมันก็จะจับตัวเป็นก้อนและหากเอามานวดปั้นเป็นรูปอะไรก็ได้ เพราะดินเหนียวจะทำปฎิกริยากับน้ำคือ ทำให้แข็งตัวเหมือนกัน หากเราเอากรวดใส่ในกล่องนั้น เวลาเทน้ำลงไป น้ำก็คงแยกกรวดกับน้ำไม่ผสมผสานกันได้ เพราะมันเป็นสะสารคนละชนิดกัน

หากความคิดเรา เป็นทรายละเอียดอ่อน หากมีเรื่องราวอะไรที่ดีไม่ดีมา มันก็ซีมเข้าไปในความคิด หมด เราก็รับไปหมดสุดท้ายก็วุ่นวาย แต่หาก เราเอาดินเหนียวใส่ เมื่อเจอน้ำก็เกิดการผสมผสานกันปั้นเป็นรูปทรงอะไรสักอย่างก็ได้ หรือหากเป็นหินก็ต่างก็อยู่กันในกล่องแต่ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ต่างก็เป็นขยะที่รกสมองรกความคิดทั้งคู่ ด้วยเหตุนี้เอง เราต้องมีฐานข้อมูลที่ดีใส่ลงไปในสมอง สิ่งนั้นก็คือ ความรู้และปัญญา (ดินเหนียว)

ความรู้ต่างกับปัญญาอย่างไร? หลายคนมีความรู้ท่องได้ อ่านแล้ว มาหลายตำราหลายเล่ม หลายสัมนา รอบรู้หมด แต่คนมีปัญญาคือสามารถนำความรู้มาประยุกต์ ใช้ นำไปปฎิบัติได้อย่างช่ำชอง พลิกแพงให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวันและช่วยเหลือผู้อื่น คนมีความรู้อ้างอิงตำราต่าง ๆ ได้ แต่คนมีปัญญา ประยุกต์วิธีการนำไปใช้ได้ ก็คือคนมีความรู้คือความฉลาดอยู่ที่สมอง แต่คนมีปัญญาคือคนมีความเฉลียวมีไหวพริบ อยู่ที่เซนส์ ประสบการณ์

แต่ความรู้กับปัญญาต้องไปด้วยกัน บางคนมีปัญญาช่างคิด เก่งเรื่องคิดแต่ไม่มีฐานข้อมูลในเรื่อง ความรู้ก็คิดได้ตามปัญญาแคบ ๆ บางคนมีความรู้มากแต่ไม่มีการใช้ปัญญา ก็ได้ใช้ความรู้อย่างแคบ ๆ เหมือนกัน สรุปคือ เราจะมีปัญญามากแค่ไหน ก็เท่ากับฐานความรู้มากด้วยครับ

เราจำเป็นต้องมีความรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรู้ความเข้าใจ ทางความเชื่อ ในชีวิตคริสเตียนที่ถูกต้อง ความรู้เรื่องพระเจ้า จริยธรรมจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ผ่านทางคำสอน ของผู้นำคริสตจักรในวันอาทิตย์ ผ่านทางสื่อต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันเป็นเรื่องที่ง่ายดาย จงแสวงหาเพราะอยู่ที่ใจของเราต่างหากจะหิวกระหายมากน้อยแค่ไหน เพราะในความคิดของเรา จำเป็นต้องมีฐานข้อมูลความรู้ที่ถูกที่สุด คือ พระคำพระเจ้าครับ

“สภษ18: 15 ใจที่มีความคิดย่อมหาความรู้ และหูของปราชญ์แสวงความรู้”

การแสวงหาปัญญาเพื่อ ความกระจ่าง ความเข้าใจในความรู้ หลายคนมีความรู้แต่ไม่มีปัญญา แล้วเราจะมีปัญญาได้อย่างไร

การมีปัญญาเกิดขึ้นจาก การเอาความรู้ขยายความรู้เอาความรู้จากที่มี มาขยายความรู้จากอีกที่ที่รับ หรือจากการได้ฟัง พูดคุยกับผู้ที่มีประสบการณ์ ผู้ที่เคยทำปฎิบัติมาก่อน หรือเกิดจากประสบการณ์ของเราเองที่ได้พบ สะสมมาก ๆ ยิ่งขึ้น เกิดจากความเข้าใจ ดังนั้นเราจะให้ความรู้งอกงามจนเป็นปัญญาได้นั้น มีปัจจัยหลายทางครับ ส่วนสำคัญที่สุดคือ การฟัง การได้ทำ และการได้เรียนจากผู้รู้ที่รู้มากกว่า

สภษ 14: 33 ปัญญาอาศัยอยู่ในความคิดของคนที่มีความเข้าใจแต่ปัญญานั้นไม่ประจักษ์ในใจของคนโง่

สภษ18: 2 คนโง่ไม่เพลิดเพลินในความเข้าใจ แต่เพลิดเพลินในการแสดงความคิดเห็นของตนเท่านั้

เมื่อเรามีฐานข้อมูลทางความคิดแล้ว คือ ความรู้และปัญญา ตอนนี้เมื่อเราคิดอะไร ก็เป็นความคิดที่มาจากปัญญา เราก็จะมีความคิดที่ไร้ความสับสน วุ่นวาย ไร้ไวรัส ความมืด ความสกปรก และความไม่สงบ เพราะเรารู้ว่าอะไรคือพิษในความคิด อะไรคือ อาหาร อะไรคือสิ่งที่ควรคิดเพื่อชัยชนะครับ


Visitor counter