วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

ชีวิตไม่ได้วัดแค่ความฉลาด

ชีวิตไม่ได้วัดแค่ความฉลาด

ในปัจจุบัน เราไม่ได้วัดคนแค่ความฉลาด IQ เท่านั้น สมัยก่อน เราวัดความเก่งด้วย แค่IQ อัจฉริยภาพ หรือไอคิว (1Q) เพราะชีวิตที่สุดยอด ในมุมมองพระคัมภีร์ มองที่ความสัมพันธ์กับพระเจ้าและสุขภาพ อารมณ์ (ผลพระวิญญาณ) และมนุษยสัมพันธ์ หากคนมีไอคิวดีเด็กฉลาดแต่เข้าสังคมไม่ได้ ทำงานกับคนอื่นยาก ก็ไม่มีประโยชน์ที่ จะฉลาด เพราะ เป็นคนเห็นแก่ตัว ล้ำเส้น สิทธิของผู้อื่น หรือเป็นคนที่สุขภาพไม่แข็งแรง อยากจะให้ดูพระวจนะของพระเจ้าสองตอนด้วยกัน

ลูกา 2:40 พระกุมารนั้นก็เจริญวัยแข็งแรงขึ้น ประกอบด้วยสติปัญญาและพระคุณของพระเจ้าอยู่กับท่าน

3ยอห์น 1-5ท่านที่รัก ข้าพเจ้าอธิษฐานขอให้ท่านมีพลานามัยสมบูรณ์ และเจริญสุขทุกประการ อย่างจิตวิญญาณของท่านจำเริญอยู่นั้น ……เมื่อพวกพี่น้องบางคนได้มาและเป็นพยานถึงชีวิตอันคงเส้นคงวา (อดทน) ของท่าน ตามที่ท่านได้ประพฤติตามสัจจะ (จริยธรรม) นั้นไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้ข้าพเจ้าปีติยิ่งกว่านี้……ประพฤติตามสัจจธรรม ท่านที่รัก เมื่อท่านกระทำสิ่งใดให้พี่น้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้แก่แขกที่มาบ้าน ก็เป็นที่แสดงความภักดีของท่าน

สรุปได้ว่า คนที่มีไอคิวดี หรือจะสร้างเด็กที่ฉลาด ต้องสร้างเสริมด้านอารมณ์ สุขภาพ การบังคับตนเองที่เป็นผู้ใหญ่ด้วย 1ทิโมธี 4:12 อย่าให้ผู้ใดหมิ่นประมาทความหนุ่มแน่นของท่าน แต่จงเป็นแบบอย่างแก่คนที่เชื่อทั้งปวง ทั้งในทางวาจาและการประพฤติ ในความรัก ในความเชื่อ และในความบริสุทธิ์

วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

วินัยใหม่ พลังความคิด-ตอน ไวรัสทางความคิด

ความสับสนเกิดขึ้นจากการไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไร ทำอย่างไร อะไรที่เป็นมาตฐาน ขอบเขตอยู่ที่ไหนตรงไหน ระดับไหน จะถือว่าถูกต้องอยู่ที่ระดับไหน ถือว่าผิดเอาอะไรเป็นมาตฐาน ตอนนี้ผมจะยกตัวอย่าง เรื่องง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน

ประการแรก เราต้องมีฐานข้อมูลที่ถูกในความคิดและจิตใจของเราก่อน เหมือนคอมพิวเตอร์ที่มี โปรแกรมหลักเพื่อปฎิบัติการ และโปรแกรมป้องกัน เพื่อการละเมิดลิขสิทธิ์และไวรัส เมื่อไหร่ เราใส่โปรแกรมผีที่มักซ่อนสปายแวร์หรือไวรัสเข้าไป มันจะฟ้อง ป้องกัน และไม่ยอมรับโปรแกรมเหล่านี้ ให้เข้าไปทำงานในคอมพิวเตอร์ของเราได้ แล้วโปรแกรมหลักและโปรแกรมป้องกันนี้คืออะไรล่ะ

“สภษ12:8 คนจะได้คำชมเชยตามสามัญสำนึกที่ดีของเขา แต่คนที่ความคิดตลบตะแลงก็เป็นที่ดูหมิ่น”
พระวจนะตอนนี้สอนเราว่า สามัญสำนีกที่ดีนำสู่การประพฤติที่ดี แล้วหากประพฤติดี ก็จะมีผู้ชมเชย จากผลการประพฤตินั้น การประพฤติที่ดีเกิดจากสามัญสำนึกที่ดีในชีวิต เราจะสร้างสามัญสำนึกที่ดีได้อย่างไรล่ะ มีสามทางครับ มีวิธีสร้างง่าย ๆ คือ เราต้องมีความคิดสว่าง คิดสะอาด คิดสงบ

คิดสว่าง คือ สิ่งที่ท่านคิดนั้น เมื่อท่านนำความนั้นเอามาเล่าในความสว่างใครก็รับได้ สามารถเอามาพูดแล้วคนไม่สะดุด ไม่ตกใจ ไม่อับอาย ไม่ผิดต่อคุณความดี คุณธรรม ความสว่างคือความดี ความมืดคือความชั่ว สิ่งใดที่แอบทำใคความมืด แอบคิดในความืด หลบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่ถือว่าคิดแบบคนมีความสว่างคับ

คิดสะอาด คือ คิดเรื่องสะอาดไม่สกปรก ลามก ไม่ผิดศิลธรรม หรือกฎหมาย คิดแล้วไม่ต้องมาสารภาพบาป หรือละอายใจทีหลัง เล่าให้ใครฟัง ก็ไม่ต้องกลัวว่าผู้คนจะดูถูกดูหมิ่นในความนี้

คิดสงบ คือ เรื่องที่คิดแล้วหากใครได้ยิน ใครรับฟังความคิดของเราแล้วก็เกิดความสงบ ไม่เดือดร้อนเป็นไฟให้เกิดความวุ่นวาย และที่สำคัญตัวเราคิดแล้ว เราก็เกิดความสงบสุขในใจ เล่าเรื่องนี้แล้ว ทุกคนสบายใจ สงบสุข แบบนี้ต้องหาทาง และฝึกเรียนรู้ครับ

เห็นหรือยังครับ หากเรามีมาตฐานทางความคิดแล้วอะไรที่กำลังคิดมันไม่สว่างไม่สะอาด ไม่สงบ เราก็ไม่คิด เราก็มีมาตฐานเดียว ในการคิดก็จะง่ายต่อการตัดสินใจ ละเลือกที่จะทิ้งหลายต่อหลายเรื่องที่มันแวะมาเยี่ยมในสมองของเรา ครับ จำไว้ อย่ารับแขกแปลกหน้าที่ไม่ได้เชิญ ที่ไม่สว่าง ไม่สะอาด ไม่สงบเลย

วันอังคารที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2553

ตอนต้องมีขอบเขตบางเรื่องในการคิด

สภษ.27: 19 “ในน้ำ คนเห็นหน้าคนฉันใด ความคิดของคนก็ส่อคนฉันนั้น”

เราต้องสร้างระบบความคิดของเราให้ดี เหมือนเราจะประกอบรถยนต์คันหนึ่ง เราต้องรู้ว่าควรจะมีสามส่วนใหญ่ ๆ คือ เครื่องไฟฟ้า อุปกรณ์อะไหล่ที่จะนำมาประกอบเป็นรถ และสุดท้ายอุปกรณ์ที่จะใส่พวกเชื้อเพลิง สามส่วนนี้จะทำให้รถวิ่งไปได้ แต่หากว่าเราเอาอะไรที่ไม่ใช่ส่วนประกอบใส่รวม ๆ เข้าไปไม่คัดแยก เช่นใส่อุปกรณ์ใบพัดสำหรับครื่องบิน หรือใบพายสำหรับเรือแจวเข้าไปในรถ มันคงจะรกมากกว่าเป็นรถ และมองไม่ออกว่าสิ่งที่เราจะสร้างคืออะไร

เหมือนกันชีวิตที่พระเจ้าสร้างเรามา มีสามส่วน คือ จิตใจ ร่างกาย จิตวิญญาณ เราควรมีความคิดที่เป็นอาหารที่ทำให้สามส่วนเจริญขึ้น นั่นคือ ความเชื่อในศาสนาที่ทำให้เรามีคุณธรรม ทำความดีแก่ผู้อื่น มีความรักในตัวเองก็จะทำให้เราดูแลสุขภาพ และละทิ้งสิ่งใดที่ทำให้เราคิด เราทำ เรามีอารมณ์ที่แย่ลง หรือทำในสิ่งที่เป็นอบายมุข และสุดท้ายก็คือ ความหวัง เป็นคนมีพลัง มีกำลังใจพร้อมที่จะต่อสู้ มีทัศนคติที่ดีและมองโลกด้วยความเป็นธรรม ไม่มองในแง่ดีจนเกินไปจนมองไม่เห็นความชั่วร้าย ไม่มองอะไรชั่วร้ายจนเกินไปจนไม่มีความสมดุลย์ครับ

ระบบความคิดที่ดีนั้น มักจะมาจากการมีความรู้ ความเข้าใจ หรือมีฐานข้อมูลที่ดี เรื่องนี้เคยกล่าวไปแล้ว แต่ตอนนี้จะแนะนำสิ่งที่เป็นเครื่องตัดสินใจในการคิด

ประการแรก หากเราคิดเรื่องหนึ่งเรื่องใด เราคิดสิครับว่า เรื่องนี้จะทำให้เราเจริญขึ้นด้วยอารมณ์ ปัญญา หรือนำไปปฎิบัติแล้วจะทำให้ดีขึ้นไหม

อีกประการหนึ่ง คือ สิ่งที่คิดผิดจริยธรรมไหม และสิ่งที่คิดจิตใจได้ฟ้องผิดหรือขัดแย้งในตัวเองหรือเปล่า อีกอย่างในเมื่อเราเป็นคริสตชนเรื่องนี้สำคัญ หากพระเยซูคริสต์ทรงคิดเรื่องนี้พระองค์จะคิดแบบเราหรือเปล่าครับ เสมือนสนามฟุตบอลที่มีการแข่งขัน หากไม่มีเส้น ไม่มีกรรมการ หรือไม่มีกติกา นักฟุตบอลคงเตะฟุตบอลไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีที่สิ้นสุด โดยไม่มีโกลล์เป็นเป้าหมาย อีกกี่ปีพวกเขาจะเล่นจนจบการแข่งขัน ความคิดของเราก็เป็นแบบนั้น ครับ ต้องมีเส้นขีดชัดเจน

วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2553

ตอน ความรู้สู้ปัญญาไม่ได้การบำบัด ตอนที่ 20 วินัยใหม่ พลังความคิด

หมวดการบำบัด ตอนที่ 20 วินัยใหม่ พลังความคิด
ตอน ความรู้สู้ปัญญาไม่ได้

ความคิดของเรา ก็เหมือนกล่องเปล่า ๆ เล็ก ๆ หากเราเอาทรายใส่ลงไปในกล่อง แล้วเทน้ำลงไปในกล่องทราย น้ำก็จะซึมลงไปมันก็หายไป หากเราวางรากฐานโดยเอาดินเหนียวใส่ลงไปในกล่อง เวลาเอาน้ำเทลงไปมันก็จะจับตัวเป็นก้อนและหากเอามานวดปั้นเป็นรูปอะไรก็ได้ เพราะดินเหนียวจะทำปฎิกริยากับน้ำคือ ทำให้แข็งตัวเหมือนกัน หากเราเอากรวดใส่ในกล่องนั้น เวลาเทน้ำลงไป น้ำก็คงแยกกรวดกับน้ำไม่ผสมผสานกันได้ เพราะมันเป็นสะสารคนละชนิดกัน

หากความคิดเรา เป็นทรายละเอียดอ่อน หากมีเรื่องราวอะไรที่ดีไม่ดีมา มันก็ซีมเข้าไปในความคิด หมด เราก็รับไปหมดสุดท้ายก็วุ่นวาย แต่หาก เราเอาดินเหนียวใส่ เมื่อเจอน้ำก็เกิดการผสมผสานกันปั้นเป็นรูปทรงอะไรสักอย่างก็ได้ หรือหากเป็นหินก็ต่างก็อยู่กันในกล่องแต่ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ต่างก็เป็นขยะที่รกสมองรกความคิดทั้งคู่ ด้วยเหตุนี้เอง เราต้องมีฐานข้อมูลที่ดีใส่ลงไปในสมอง สิ่งนั้นก็คือ ความรู้และปัญญา (ดินเหนียว)

ความรู้ต่างกับปัญญาอย่างไร? หลายคนมีความรู้ท่องได้ อ่านแล้ว มาหลายตำราหลายเล่ม หลายสัมนา รอบรู้หมด แต่คนมีปัญญาคือสามารถนำความรู้มาประยุกต์ ใช้ นำไปปฎิบัติได้อย่างช่ำชอง พลิกแพงให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวันและช่วยเหลือผู้อื่น คนมีความรู้อ้างอิงตำราต่าง ๆ ได้ แต่คนมีปัญญา ประยุกต์วิธีการนำไปใช้ได้ ก็คือคนมีความรู้คือความฉลาดอยู่ที่สมอง แต่คนมีปัญญาคือคนมีความเฉลียวมีไหวพริบ อยู่ที่เซนส์ ประสบการณ์

แต่ความรู้กับปัญญาต้องไปด้วยกัน บางคนมีปัญญาช่างคิด เก่งเรื่องคิดแต่ไม่มีฐานข้อมูลในเรื่อง ความรู้ก็คิดได้ตามปัญญาแคบ ๆ บางคนมีความรู้มากแต่ไม่มีการใช้ปัญญา ก็ได้ใช้ความรู้อย่างแคบ ๆ เหมือนกัน สรุปคือ เราจะมีปัญญามากแค่ไหน ก็เท่ากับฐานความรู้มากด้วยครับ

เราจำเป็นต้องมีความรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรู้ความเข้าใจ ทางความเชื่อ ในชีวิตคริสเตียนที่ถูกต้อง ความรู้เรื่องพระเจ้า จริยธรรมจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ผ่านทางคำสอน ของผู้นำคริสตจักรในวันอาทิตย์ ผ่านทางสื่อต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันเป็นเรื่องที่ง่ายดาย จงแสวงหาเพราะอยู่ที่ใจของเราต่างหากจะหิวกระหายมากน้อยแค่ไหน เพราะในความคิดของเรา จำเป็นต้องมีฐานข้อมูลความรู้ที่ถูกที่สุด คือ พระคำพระเจ้าครับ

“สภษ18: 15 ใจที่มีความคิดย่อมหาความรู้ และหูของปราชญ์แสวงความรู้”

การแสวงหาปัญญาเพื่อ ความกระจ่าง ความเข้าใจในความรู้ หลายคนมีความรู้แต่ไม่มีปัญญา แล้วเราจะมีปัญญาได้อย่างไร

การมีปัญญาเกิดขึ้นจาก การเอาความรู้ขยายความรู้เอาความรู้จากที่มี มาขยายความรู้จากอีกที่ที่รับ หรือจากการได้ฟัง พูดคุยกับผู้ที่มีประสบการณ์ ผู้ที่เคยทำปฎิบัติมาก่อน หรือเกิดจากประสบการณ์ของเราเองที่ได้พบ สะสมมาก ๆ ยิ่งขึ้น เกิดจากความเข้าใจ ดังนั้นเราจะให้ความรู้งอกงามจนเป็นปัญญาได้นั้น มีปัจจัยหลายทางครับ ส่วนสำคัญที่สุดคือ การฟัง การได้ทำ และการได้เรียนจากผู้รู้ที่รู้มากกว่า

สภษ 14: 33 ปัญญาอาศัยอยู่ในความคิดของคนที่มีความเข้าใจแต่ปัญญานั้นไม่ประจักษ์ในใจของคนโง่

สภษ18: 2 คนโง่ไม่เพลิดเพลินในความเข้าใจ แต่เพลิดเพลินในการแสดงความคิดเห็นของตนเท่านั้

เมื่อเรามีฐานข้อมูลทางความคิดแล้ว คือ ความรู้และปัญญา ตอนนี้เมื่อเราคิดอะไร ก็เป็นความคิดที่มาจากปัญญา เราก็จะมีความคิดที่ไร้ความสับสน วุ่นวาย ไร้ไวรัส ความมืด ความสกปรก และความไม่สงบ เพราะเรารู้ว่าอะไรคือพิษในความคิด อะไรคือ อาหาร อะไรคือสิ่งที่ควรคิดเพื่อชัยชนะครับ


วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

หมวดวินัยชีวิต ตอน สมรภูมิทางความคิด

หมวดวินัยชีวิต ตอน สมรภูมิทางความคิด

สมองบางครั้งก็เหมือนทะเลที่หลับ มันไม่มีอะไรเลย บางครั้งก็เหมือนสวรรค์ ช่างมีอะไรที่ฝันมากมาย บางครั้งเหมือนกับโต๊ะอาหารพระราชา ที่มีอาหาร น่ากิน น่าลิ้มลอง อันโอชะ แต่ที่แย่ที่สุด เมื่อสมอง เริ่มกลายมาเป็นสมรภูมิรบ และผู้ที่สู้รบก็คือเราเองต่อสู้เราเองในสมอง

กองทัพแห่งความดี ต่อสู้รมควัน เพื่อความสุขที่จะตามมาของร่างกายและจิตใจ ส่วนกองทัพแห่งความชั่วร้าย ก็พยายามเอาชนะเพื่อจะทำตามกิเลส ของเนื้อหนัง

เราจะให้ฝ่ายใดชนะ อันนี้น่าคิดและคิดง่ายครับ กองทัพไหนใหญ่กว่าเข้มแข็งกว่าก็จะชนะ นั่นย่อมหมายถึง ท่านสะสมกองกำลังฝ่ายไหนในสมอง และส่งเสบียงอาหารเพื่อเลี้ยงดูกองทัพฝ่ายไหนมาก กองทัพฝ่ายนั้นก็มีกำลังมากและมีโอกาสชนะแน่นอน และในสมองของเรามีแต่กองทัพคุณธรรม และกองทัพของโจรที่สะสมกำลังทุกวัน ๆ ละนิดวันละน้อย

เราจะสะสมกองกำลังกองทัพแห่งคุณธรรมได้อย่างไร และเพื่อชนะเท่านั้น สิ่งแรกคือท่านต้องฝึกทำความดี ทีละลำดับ เรียนรู้ค่อย ๆ เป็นค่อยไป

สอง ท่านต้องฝึกกองทัพของท่านให้เข้มแข็ง คือ การทานอาหารฝ่ายจิตใจ จิตวิญญาณ คือ พระคัมภีร์ อ่าน หนังสือ คำสอนจากซีดี ที่ทางคริสตจักรขาย หรือร้านหนังสือคริสเตียน

สาม ท่านต้องสร้างภูมิคุ้มกัน คือ ปฎิเสธความคิดใดที่ไม่ถูกต้อง ต่อต้าน สู้ทันที

จำไว้ครับ สู้ ๆ เท่านั้น และท่านต้องร้อนรน ทหารที่เฉื่อยชาจะถูกโจมตีได้ง่าย ทหารที่ร้อนรน เตรียมพร้อมรุก จะไม่ค่อยตายในการต่อสู้ครับ และการต่อต้านอีกอย่างคืออย่าเห็นด้วยเด็ดขาดกับสิ่งที่ไม่ดี ให้กล้าปฎิเสธ

แค่นี้ท่านก็จะสามารถยุติสงคราม หรืออาจจะไม่ต้องมีก่อรัฐประหารในสมองเลยก็ได้ เพราะท่านต่อต้านกำราบมันตั้งแต่มันเริ่มยิง อาวุธชีวภาพทางความคิดเข้ามา ก็

วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2553

หมวดวินัยชีวิต ตอนกล้าคิดแตกต่าง

หมวดวินัยชีวิต ตอนกล้าคิดแตกต่าง

หัวข้อนี้อาจจะขัดแย้งกับบุคลิคของคนไทยนะครับ เพราะพวกเราถูกปลูกฝังค่านิยมและวัฒนธรรมที่เกรงใจ ไม่กล้าขัดใจผู้อื่น ไม่ขัดแย้ง เพราะรักความสงบ กลัวเสียน้ำใจ แต่บางครั้งเรื่องราว คำพูดที่ได้ยินมามันไม่ถูกต้องเสียทั้งหมด และอาจเป็นขยะของความคิด เราก็รู้อยู่แก่ใจ และมักจะทำเฉย หรือนั่งเงียบ รับฟัง ไม่กล้าปฎิเสธไม่รับความคิดนี้ เพราะหลายสาเหตุ ดังข้างต้นที่ได้กล่าว

กล้าคิดอีกมุมมองที่แตกต่างเป็นเรื่องที่เราต้องกล้า กระโดดออกจากกล่องความคิดเก่า ๆ กล้าคิดอะไรที่แตกแขนงออกไป หากเราไม่ทำแบบนี้ ทำแบบอื่นที่คนอื่นไม่ทำ แต่ถูกต้องล่ะ คิดแบบไม่ต้องจำกัด ว่ามีแต่หนึ่งบวกสามได้สี่ แต่หากหนึ่งครึ่งบวกสองครึ่งละได้สี่ได้ไหม เราจะหาทุกวิถีทางที่จะหาทางหลีกเลี่ยงการกำเริบจากอาการของบาดแผลของเรา หรือเราอาจจะหาทางที่จะเอาชนะทุกทางจากวิถีที่พ่ายแพ้ และหากมาร ความชั่วร้าย ใส่ความคิดเข้ามาในสมอง เราก็จะคิดทุกรูปแบบในการเอาชนะมัน หรือไม่ยอมรับฟังมัน

เราจะคิดแบบใหม่ว่าหากเราไม่ทำตามมัน แต่หาทางทำตามวิธีของเรา เพื่อชัยชนะเราต้องกล้า หรือหากใครให้ข้อมูล หรือพูดแนะแนวทาง วิจารย์ทางที่ไม่ถูก เราไม่เห็นด้วย เราก็ต้องกล้าที่จะไม่ยอม ที่จะคิดตาม เพราะเราต้องการวิถีใหม่ของเรา เพราะ ในความคิดทั้งหมด เราคิดที่ดี ถูกที่สุด เพราะอย่างไร พระวจนะพระเจ้า กล่าวว่า “แผนงานของดวงความคิดเป็นของมนุษย์ แต่คำตอบของลิ้นมาจากพระเจ้า” (สภษ16: 1)

หมวดวินัยชีวิต ตอนระวัง ความคิดแบบก้อนหิน

หมวดวินัยชีวิต ตอนระวัง ความคิดแบบก้อนหิน

หากจิตใจดี ความคิดเราก็ดี หากจิตใจไม่ดี ความคิดเราก็เป็นลบ เราจึงต้องรักษาใจของเรา มันเป็นตัวกำหนดทุกสิ่ง ความคิดบางคนเป็นแบบทราย เมื่อโดนน้ำก็ซึมหายไปเหมือนทะเลทรายเนเกบ เพราะเป็นทราย น้ำซึมหาย บางคนความคิดเป็นแบบดินเหนียว ปั้นได้ครับ ค่อย ๆ ปั้น ให้เข้าที่เข้าทาง ที่แย่ที่สุด ความคิดแบบก้อนหิน ปรับไม่ได้ปั้นไม่ได้ มีแต่ชนให้แตกหักกันไป รับข้อมูลอย่างไร ก็คิดแบบนั้น ไม่พินิจพิเคราะห์ ไม่ประยุกต์ เปรียบเทียบ

คนแบบก้อนหินจะมีซ้ายกับขวาเท่านั้น ได้หรือไม่ได้ ไม่มีการปั้นปรับ เพื่อความถูกต้องที่สุด เหมาะสมที่สุด เป็นอันตรายครับ

หากคนแบบนี้รับข้อมูลว่าเป้าหมายสูงสุดคือการที่มีความสุขเท่านั้น ด้วยวิธีไหนก็ได้ เขาก็จะเดินตามนั้น คิดแบบนั้น พูดแบบนั้น แต่ในความเป็นจริง บางเรื่องในชีวิตความสุขที่สุดไม่ใช่สนุกและตามใจเราเสมอไป เพราะความสุขที่สุด คือได้ทำสิ่งที่สมควร เหมาะสมที่สุด มันจึงจะนำมาสู่ความสุข

บางคนก็เป็นก้อนหินมหึมา คือยืดหยุ่นไม่ได้เลย ในแต่ละเรื่องที่รู้ ที่ฟังต้องตามนั้น ผมจะเปลี่ยนฮาร์ทดิสที่รองรับโปรแกรมในคอมพิวเตอร์ มันเปลี่ยนแปลง ยืดหยุ่นไม่ได้ เมื่อเปรียบกับ Software ซึ่งเอาเข้าเอาออกอัพเดทให้ดีขึ้นมาได้ เราควรเป็น Software ครับ เพราะชีวิตมันเป็นศิลป์ และเป็นศาสตร์ต้องเรียนรู้

Visitor counter