วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

หมวดวินัยชีวิต ตอน สมรภูมิทางความคิด

หมวดวินัยชีวิต ตอน สมรภูมิทางความคิด

สมองบางครั้งก็เหมือนทะเลที่หลับ มันไม่มีอะไรเลย บางครั้งก็เหมือนสวรรค์ ช่างมีอะไรที่ฝันมากมาย บางครั้งเหมือนกับโต๊ะอาหารพระราชา ที่มีอาหาร น่ากิน น่าลิ้มลอง อันโอชะ แต่ที่แย่ที่สุด เมื่อสมอง เริ่มกลายมาเป็นสมรภูมิรบ และผู้ที่สู้รบก็คือเราเองต่อสู้เราเองในสมอง

กองทัพแห่งความดี ต่อสู้รมควัน เพื่อความสุขที่จะตามมาของร่างกายและจิตใจ ส่วนกองทัพแห่งความชั่วร้าย ก็พยายามเอาชนะเพื่อจะทำตามกิเลส ของเนื้อหนัง

เราจะให้ฝ่ายใดชนะ อันนี้น่าคิดและคิดง่ายครับ กองทัพไหนใหญ่กว่าเข้มแข็งกว่าก็จะชนะ นั่นย่อมหมายถึง ท่านสะสมกองกำลังฝ่ายไหนในสมอง และส่งเสบียงอาหารเพื่อเลี้ยงดูกองทัพฝ่ายไหนมาก กองทัพฝ่ายนั้นก็มีกำลังมากและมีโอกาสชนะแน่นอน และในสมองของเรามีแต่กองทัพคุณธรรม และกองทัพของโจรที่สะสมกำลังทุกวัน ๆ ละนิดวันละน้อย

เราจะสะสมกองกำลังกองทัพแห่งคุณธรรมได้อย่างไร และเพื่อชนะเท่านั้น สิ่งแรกคือท่านต้องฝึกทำความดี ทีละลำดับ เรียนรู้ค่อย ๆ เป็นค่อยไป

สอง ท่านต้องฝึกกองทัพของท่านให้เข้มแข็ง คือ การทานอาหารฝ่ายจิตใจ จิตวิญญาณ คือ พระคัมภีร์ อ่าน หนังสือ คำสอนจากซีดี ที่ทางคริสตจักรขาย หรือร้านหนังสือคริสเตียน

สาม ท่านต้องสร้างภูมิคุ้มกัน คือ ปฎิเสธความคิดใดที่ไม่ถูกต้อง ต่อต้าน สู้ทันที

จำไว้ครับ สู้ ๆ เท่านั้น และท่านต้องร้อนรน ทหารที่เฉื่อยชาจะถูกโจมตีได้ง่าย ทหารที่ร้อนรน เตรียมพร้อมรุก จะไม่ค่อยตายในการต่อสู้ครับ และการต่อต้านอีกอย่างคืออย่าเห็นด้วยเด็ดขาดกับสิ่งที่ไม่ดี ให้กล้าปฎิเสธ

แค่นี้ท่านก็จะสามารถยุติสงคราม หรืออาจจะไม่ต้องมีก่อรัฐประหารในสมองเลยก็ได้ เพราะท่านต่อต้านกำราบมันตั้งแต่มันเริ่มยิง อาวุธชีวภาพทางความคิดเข้ามา ก็

วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2553

หมวดวินัยชีวิต ตอนกล้าคิดแตกต่าง

หมวดวินัยชีวิต ตอนกล้าคิดแตกต่าง

หัวข้อนี้อาจจะขัดแย้งกับบุคลิคของคนไทยนะครับ เพราะพวกเราถูกปลูกฝังค่านิยมและวัฒนธรรมที่เกรงใจ ไม่กล้าขัดใจผู้อื่น ไม่ขัดแย้ง เพราะรักความสงบ กลัวเสียน้ำใจ แต่บางครั้งเรื่องราว คำพูดที่ได้ยินมามันไม่ถูกต้องเสียทั้งหมด และอาจเป็นขยะของความคิด เราก็รู้อยู่แก่ใจ และมักจะทำเฉย หรือนั่งเงียบ รับฟัง ไม่กล้าปฎิเสธไม่รับความคิดนี้ เพราะหลายสาเหตุ ดังข้างต้นที่ได้กล่าว

กล้าคิดอีกมุมมองที่แตกต่างเป็นเรื่องที่เราต้องกล้า กระโดดออกจากกล่องความคิดเก่า ๆ กล้าคิดอะไรที่แตกแขนงออกไป หากเราไม่ทำแบบนี้ ทำแบบอื่นที่คนอื่นไม่ทำ แต่ถูกต้องล่ะ คิดแบบไม่ต้องจำกัด ว่ามีแต่หนึ่งบวกสามได้สี่ แต่หากหนึ่งครึ่งบวกสองครึ่งละได้สี่ได้ไหม เราจะหาทุกวิถีทางที่จะหาทางหลีกเลี่ยงการกำเริบจากอาการของบาดแผลของเรา หรือเราอาจจะหาทางที่จะเอาชนะทุกทางจากวิถีที่พ่ายแพ้ และหากมาร ความชั่วร้าย ใส่ความคิดเข้ามาในสมอง เราก็จะคิดทุกรูปแบบในการเอาชนะมัน หรือไม่ยอมรับฟังมัน

เราจะคิดแบบใหม่ว่าหากเราไม่ทำตามมัน แต่หาทางทำตามวิธีของเรา เพื่อชัยชนะเราต้องกล้า หรือหากใครให้ข้อมูล หรือพูดแนะแนวทาง วิจารย์ทางที่ไม่ถูก เราไม่เห็นด้วย เราก็ต้องกล้าที่จะไม่ยอม ที่จะคิดตาม เพราะเราต้องการวิถีใหม่ของเรา เพราะ ในความคิดทั้งหมด เราคิดที่ดี ถูกที่สุด เพราะอย่างไร พระวจนะพระเจ้า กล่าวว่า “แผนงานของดวงความคิดเป็นของมนุษย์ แต่คำตอบของลิ้นมาจากพระเจ้า” (สภษ16: 1)

หมวดวินัยชีวิต ตอนระวัง ความคิดแบบก้อนหิน

หมวดวินัยชีวิต ตอนระวัง ความคิดแบบก้อนหิน

หากจิตใจดี ความคิดเราก็ดี หากจิตใจไม่ดี ความคิดเราก็เป็นลบ เราจึงต้องรักษาใจของเรา มันเป็นตัวกำหนดทุกสิ่ง ความคิดบางคนเป็นแบบทราย เมื่อโดนน้ำก็ซึมหายไปเหมือนทะเลทรายเนเกบ เพราะเป็นทราย น้ำซึมหาย บางคนความคิดเป็นแบบดินเหนียว ปั้นได้ครับ ค่อย ๆ ปั้น ให้เข้าที่เข้าทาง ที่แย่ที่สุด ความคิดแบบก้อนหิน ปรับไม่ได้ปั้นไม่ได้ มีแต่ชนให้แตกหักกันไป รับข้อมูลอย่างไร ก็คิดแบบนั้น ไม่พินิจพิเคราะห์ ไม่ประยุกต์ เปรียบเทียบ

คนแบบก้อนหินจะมีซ้ายกับขวาเท่านั้น ได้หรือไม่ได้ ไม่มีการปั้นปรับ เพื่อความถูกต้องที่สุด เหมาะสมที่สุด เป็นอันตรายครับ

หากคนแบบนี้รับข้อมูลว่าเป้าหมายสูงสุดคือการที่มีความสุขเท่านั้น ด้วยวิธีไหนก็ได้ เขาก็จะเดินตามนั้น คิดแบบนั้น พูดแบบนั้น แต่ในความเป็นจริง บางเรื่องในชีวิตความสุขที่สุดไม่ใช่สนุกและตามใจเราเสมอไป เพราะความสุขที่สุด คือได้ทำสิ่งที่สมควร เหมาะสมที่สุด มันจึงจะนำมาสู่ความสุข

บางคนก็เป็นก้อนหินมหึมา คือยืดหยุ่นไม่ได้เลย ในแต่ละเรื่องที่รู้ ที่ฟังต้องตามนั้น ผมจะเปลี่ยนฮาร์ทดิสที่รองรับโปรแกรมในคอมพิวเตอร์ มันเปลี่ยนแปลง ยืดหยุ่นไม่ได้ เมื่อเปรียบกับ Software ซึ่งเอาเข้าเอาออกอัพเดทให้ดีขึ้นมาได้ เราควรเป็น Software ครับ เพราะชีวิตมันเป็นศิลป์ และเป็นศาสตร์ต้องเรียนรู้

หมวดวินัยชีวิต ตอน การให้คุณค่าในการคิด

หมวดวินัยชีวิต ตอน การให้คุณค่าในการคิด

1คร.9: 26 -27 “ส่วนข้าพเจ้าวิ่งแข่งโดยมีเป้าหมาย ข้าพเจ้ามิได้ต่อสู้อย่างนักมวยที่ชกลม
แต่ข้าพเจ้าก็ทุบตีร่างกายให้มันแข็งจนอยู่มือ เพราะเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนอื่นแล้ว ตัวข้าพเจ้าเองจะเป็นคนที่ใช้การไม่ได้”


หากพระคริสต์อยู่ในโลกนี้ พระองค์จะคิดอย่างที่เราคิดไหม หรือทุ่มเทเวลาในการคิดเรื่องที่เรากำลังคิดหรือไม่ หรือพระองค์จะให้คุณค่าอย่างที่ให้หรือเปล่า กับการเสียเวลาหมกมุ่นกับสิ่งที่เราทุ่มเทคิดทั้งกลางวัน กลางคืนแบบนี้ มันจะเป็นบุคลิคของพระองค์หรือไม่?

ค่านิยมของเราคือ การให้คุณค่าในสิ่งที่พระเจ้าทรงให้คุณค่าจะเป็นมาตฐานของเรา เราให้คุณค่ากับคำตำหนิมากกว่าคำชมหรือไม่ เพราะบางครั้ง เราหมกมุ่น ขมขื่น เสียใจต่อคำตำหนิของคนบางคน จนกินไม่ได้ นอนไม่หลับ แต่เราไม่สนใจคำชมดี ๆ ของใครสักคนที่เห็นคุณค่าในตัวเรา สิ่งนี้ก็บ่งบอกชัดว่าเราให้คุณค่ากับสิ่งที่ผิดเสียพลังสมอง เสียเวลา เสียกำลังใจ ไปหลายชั่วโมง

หรือการคิดให้คุณค่าสูงสุด ความคิดของคนทั่วไปคิดว่าทำอย่างไรก็ได้ขอให้สำเร็จ แต่คนที่มีพลังความคิดสร้างสรรค์ เขาจะคิดว่าทำอย่างไรให้สำเร็จและเจริญเติบโตไม่สร้างศัตรู ให้ความสำเร็จเพื่อทุกคน ไม่ใช่แค่สำเร็จ หรือคนทั่วไปคิดว่าทำสิ่งที่ถูกก็พอ แต่คนที่คิดเป็นจะคิดสูงกว่านั้นว่าถูกอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องสมควรแก่เวลาและโอกาสด้วย

เราลองคิดดูง่าย ๆ คำพูดหนุนใจดี ๆ หากมาในเวลาที่เหมาะสม มันจะดีกว่าสักเท่าไร นั่นคือสิ่งที่สมควร มันดีกว่าแค่ทำดี และหากเราเป็นคริสเตียนที่รักพระเจ้าล่ะ สิ่งที่ทำจะสูงกว่านั้นคือ มากกว่าถูกผิดหรือดีไม่ดี สมควรหรือไม่สมควร แต่ว่าในสิ่งที่เราจะทำนั้นเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ เพื่อจะได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง และอยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสม มันสูงกว่าสิ่งใดเพราะความคิดของเราถูกกำหนดคุณค่าอยู่ที่น้ำพระทัยพระเจ้าครับ

หมวดวินัยชีวิต ตอนต่อสู้ตัวเองผ่านความคิด

หมวดวินัยชีวิต ตอนต่อสู้ตัวเองผ่านความคิด

สมองบางครั้งก็เหมือนทะเลที่หลับไหล มันไม่มีอะไรเลย บางครั้งก็เหมือนสวรรค์ ช่างมีอะไรที่ฝันมากมาย บางครั้งเหมือนกับโต๊ะอาหารพระราชาที่มีอาหารน่ากินน่าลิ้มลองอันโอชะ แต่ที่แย่ที่สุดคือเมื่อสมองเริ่มกลายเป็นสมรภูมิรบ และผู้ที่สู้รบก็คือเราเองต่อสู้เราเองในสมอง

กองทัพแห่งความดีต่อสู้ร่วมกัน เพื่อความสุขที่จะตามมาของร่างกายและจิตใจ ส่วนกองทัพแห่งความชั่วร้ายก็พยายามเอาชนะเพื่อจะทำตามกิเลสของเนื้อหนัง

เราจะให้ฝ่ายใดชนะ อันนี้น่าคิดและคิดง่ายครับ กองทัพไหนใหญ่กว่าเข้มแข็งกว่าก็จะชนะ นั่นย่อมหมายถึง ท่านสะสมกองกำลังฝ่ายไหนในสมอง และส่งเสบียงอาหารเพื่อเลี้ยงดูกองทัพฝ่ายไหนมาก กองทัพฝ่ายนั้นก็มีกำลังมากและมีโอกาสชนะแน่นอน และในสมองของเรามีแต่กองทัพคุณธรรมและกองทัพของโจรที่สะสมกำลังทุกวัน วันละนิดวันละน้อย

เราจะสะสมกองกำลังกองทัพแห่งคุณธรรมได้อย่างไรให้ได้รับชัยชนะเท่านั้น สิ่งแรกคือท่านต้องฝึกทำความดีทีละลำดับ เรียนรู้ ค่อยเป็นค่อยไป

สอง ท่านต้องฝึกกองทัพของท่านให้เข้มแข็งคือ การทานอาหารฝ่ายจิตใจ จิตวิญญาณ คือ พระคัมภีร์ที่อ่าน หนังสือ คำสอนจากซีดี ที่ทางคริสตจักรขาย หรือร้านหนังสือคริสเตียน

สาม ท่านต้องสร้างภูมิคุ้มกัน คือ ปฎิเสธความคิดใดที่ไม่ถูกต้องต่อต้านสู้ทันที จำไว้ครับ สู้ ๆเท่านั้น และท่านต้องร้อนรน ทหารที่เฉื่อยชาจะถูกโจมตีได้ง่าย ทหารที่ร้อนรนเตรียมพร้อมรุก จะไม่ค่อยตายในการต่อสู้ครับ และการต่อต้านอีกอย่างคืออย่าเห็นด้วยเด็ดขาดกับสิ่งที่ไม่ดี ให้กล้าปฎิเสธ

แค่นี้ ท่านก็จะสามารถยุติสงคราม หรืออาจจะไม่ต้องมีก่อรัฐประหารในสมองเลยก็ได้ เพราะท่าน ต่อต้านกำราบมันตั้งแต่แรกเริ่ม พอมันเริ่มยิงอาวุธชีวภาพทางความคิดเข้ามาก็โดนสกัดกั้นแล้วครับ

หมวดวินัยชีวิต ตอน ต้องมีขอบเขตบางเรื่องในการคิด

หมวดวินัยชีวิต ตอน ต้องมีขอบเขตบางเรื่องในการคิด

สภษ27: 19 ในน้ำ คนเห็นหน้าคนฉันใด ความคิดของคนก็ส่อคนฉันนั้น

เราต้องสร้างระบบความคิดของเราให้ดี เหมือนเราจะประกอบรถยนต์คันหนึ่ง เราต้องรู้ว่า มีสามส่วนใหญ่ ๆ คือ เครื่องไฟฟ้า อุปกรณ์ อะไหล่ ที่จะนำมาประกอบเป็นรถ และสุดท้ายอุปกรณ์ที่จะใส่พวกเชื้อเพลิง สามส่วนนี้จะทำให้รถวิ่งไปได้ แต่หากว่า เราเอาอะไรที่ไม่ใช่ส่วนประกอบ ใส่รวม ๆ เข้าไปไม่คัดแยก เช่นใส่อุปกรณ์ใบพัดสำหรับเรือบิน ที่พายสำหรับเรือแจว มันคงจะเป็นรก มากกว่ารถ และมองไม่ออกว่าสิ่งที่เราจะสร้างคืออะไร

เหมือนกัน ชีวิตที่พระเป็นเจ้าสร้างให้เรามา มีสามส่วน คือ จิตใจ ร่างกาย จิตวิญญาณ เราควรมีความคิดที่เป็นอาหาร ที่ทำให้สามส่วนเจริญขึ้น นั่นคือความเชื่อในศาสนา ที่ทำให้เรามีคุณธรรม ทำความดีแก่ผู้อื่น ความรักในตัวเองก็จะทำให้เราดูแลสุขภาพ และละทิ้งสิ่งใดที่ทำให้เราคิด อารมณ์ที่แย่ลง หรือเป็นอบายมุข และสุดท้ายก็คือความหวัง เป็นคนมีพลัง กำลังใจ พร้อมจะต่อสู้ มีทัศนคติ มองโลกด้วยความเป็นธรรม ไม่ดีจนเกินไป จนมองไม่เห็นความชั่วร้าย ไม่มองอะไรชั่วร้ายจนเกินไป จนไม่มีความสมดุลย์ครับ

ระบบความคิดที่ดีนั้น มักจะมาจากการมีความรู้ ความเข้าใจ หรือมีฐานข้อมูลที่ดี เรื่องนี้เคยกล่าวไปแล้ว แต่ตอนนี้จะแนะนำสิ่งที่เป็นเครื่องตัดสินใจในการคิด ประการแรก หากเราคิดเรื่องหนึ่งเรื่องใด เราคิดสิครับว่าเรื่องนี้จะทำให้เราเจริญขึ้นด้วยอารมณ์ ปัญญา หรือนำไปปฎิบัติแล้ว จะทำไห้ดีขึ้นไหม

อีกประการหนึ่ง สิ่งที่คิดผิดจริยธรรมไหม และสิ่งที่คิด จิตใจ ได้ฟ้องผิด ขัดแย้งในตัวเองหรือเปล่า

อีกอย่างในเมื่อเราเป็นคริสตชน เรื่องนี้สำคัญ หากพระเยซูคริสต์ ทรงคิดเรื่องนี้ พระองค์จะคิดแบบเราหรือเรา

เสมือนสนามฟุตบอลที่มีการแข่งขัน หากไม่มีเส้น ไม่มีกรรมการ หรือกติกา นักฟุตบอล คงเตะฟุตบอลไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีที่สิ้นสุด แต่ไม่มีโกลล์เป็นเป้าหมาย อีกกี่ปีพวกเขาจะเล่นจบการแข่งขัน ความคิดของเราก็เป็นแบบนั้น ครับ ต้องมีเส้นขีดชัดเจน

วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2553

3 Michael ที่ลุกขึ่นมาได้ ตอน นักธุรกิจคริสเตียน Michael Ellis

3 Michael ที่ลุกขึ้นมาได้ ตอน นักธุรกิจคริสเตียน Michael Ellis

Michael ที่ลุกขึ่นมาได้ ตอน นักธุรกิจคริสเตียน Michael Ellis
คนนี้เป็นอาจารย์ผมแอง เพิ่งมาจัดการสัมนาที่เมืองไทยเดือนก.พ. 2010 นี้แอง ไมเคิลเคยมีความสัมพันธ์ที่แย่ครับ จุดเปลี่ยนแปลงคือ วันหนึ่ง เขาอยากเริ่มต้นกับพระเจ้าใหม่ หลังจากรับประสบการณ์การเยี่ยมเยียนจากพระเจ้า จึงอยากใช้เวลากับลูก และนัดลูก อยากคุยใช้เวลาด้วยกัน แต่ถึงเวาลูกชายกลับไม่สนใจและอยู่กับแฟนสาว จนเขาเรียกลูกมาพบส่วนตัว และแทนที่จะกล่าวตักเตือยนหรือตำหนิเขา กลับขอโทษลูกชาย พูดทำนองว่าหากที่ผ่านมาพ่อทำอะไรผิดไป หรือทำนองเป็นพ่อที่ไม่ดี ไม่ทำสิ่งที่ควรทำ พ่อขอโทษ

จากนั้นเขาก็บอกลูกชายว่าไปเถอะ จะไปเที่ยวก็ไป ปรากฎว่า ลูกชายกับแฟนสาวขับรถออกไปนอกบ้าน และสักครู่ก็โทรศัพท์มาหาเขา ที่อยู่บ้าน และบอกว่าจะกลับบ้านพร้อมแฟนสาว

พอมาถึงบ้าน ลูกชายร้องไห้ เพราะสิ่งที่พ่อทำวันนี้ มันทำให้เขาสำนึก ลูกชายและแฟนสาวกลับใจเป็นคริสเตียน เชื่อพระเจ้า ทำให้ไมเคิลอุทิศถวายตัวรับใช้พระเจ้า ในเรื่องการบำบัดเยียวยา และเดินทางไปสอนทั่วโลก

อยากหนุนใจว่าการขอโทษไม่ใช่เรื่องน่าอาย เหมือนไบเบิ้ลสอนเรา จงสารภาพบาปกันและกัน เพื่อเราจะรับการอภัย และเพื่อจะได้รับการรักษา การกลับสู่สภาพดี ปัจจุบันไมเคิลเปิดสถาบันสร้างผู้นำและเป็นวิทยากรไปทั่วโลก

สาม Michael มีอิทธพลต่อกำลังใจผม และเชื่อว่าจะมีต่อท่านทุกคนที่ได้อ่านนะครับ

3 Michael ที่ลุกขึ้นมาได้ ตอน มือเปียโน Michael W Smith

3 Michael ที่ลุกขึ้นมาได้ ตอน มือเปียโน Michael W Smith

คนนี้เป็นคริสเตียน คุณแม่เป็นแค่แม่บ้านรับทำความสะอาด ไมเคิลเล่นดนตรีร็อคมานาน และมีชื่อเสียงระดับหนึ่ง จนต่อมาเขาติดยาเสพติด จนต้องเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษา เมื่ออาการหายดีแล้ว เขาหันมาเอาจริงเอาจังกับพระเจ้า และเริ่มออกทัวร์คอนเสิร์ต ออกอัลบั้ม จนได้รับความนิยม คือ ชุด Worship ติดตามด้วยชุดที่สอง Worship Again และอีกหลายชุดตามมา

ผมอยากหนุนใจว่าวันนี้คุณอาจล้มลง และแย่สุด ๆ แต่วันหนึ่งเมื่อคุณกลับมาหาพระที่นั่งที่เปี่ยมด้วยพระคุณของพระเป็นเจ้า พระองค์พร้อมยกโทษให้อภัย และพวกเราก็จะให้โอกาสคุณเสมอเช่นกันครับ

ดูวีดีโอ เพลงที่พวกเรารู้จัก http://www.youtube.com/watch?v=HSTJqhlDQrY

3 Michael ที่ลุกขึ้นมาได้ ตอน มือกีต้าร์ที่เคยล้มเหลว

3 Michael ที่ลุกขึ้นมาได้ ตอน มือกีต้าร์ที่เคยล้มเหลว

วันนี้อยากหนุนใจ เรื่องคนชื่อ MICHAEL เพราะไมเคิล สามคนนี้ต่อไปนี้ มีอิทธิพล ต่อผมทั้งสามคนเลยครับ

คนแรกคือ ไมเคล แชงเกอร์ MICHAEL SCHENKER มือกีต้าร์ วงฟลายอิ้ง วี



เป็นมือกีตาร์ที่ผมโปรดปรานจนถึงวันนี้ ตอนผมเรียนอยู่ ม. 5 ก็ประมาณยี่สิบกว่าปีแล้ว เนื่องจากคุณพ่อเล่นดนตรี และผมก็ใฝ่ฝันจะเรียนดนตรี เลยต้องอ่านแต่หนังสือ ประวัติศาสตร์ดนตรี ฟังเพลงคลาสสิกมาตั้งแต่เด็ก พูดตรง ๆ ไม่เคยฟังเพลงอื่นเลย นอกจากเพลงเพื่อชีวิตของหงา คาราวาน

จนวันหนึ่งผมตัดสินใจซื้อเทปคลาสเสต สมัยนั้นยังไม่มีซีดีนะครับ ก็เลยชอบและฝึกเล่นกีตาร์ โซโล่ของไมเคิลมาตลอด ตอนนั้นยังไม่เป็นคริสเตียนครับ จากนั้นศึกษาประวัติทุกอย่างที่เป็นของไมเคิล สรุปคือ ชีวิตเขารุ่งโรจน์จากการที่ครั้งหนึ่งวงดนตรีชื่อ UFO วงร็อคเปิดการแสดง พอดีมือกีตาร์หายตัวไป ไมเคิลก็ขึ้นเล่นแทน ตอนอายุ 16 ปีกว่า

จากนั้นเขาก็โด่งดังเข้าร่วมวง scorpion ตั้งวงขึ้นเองคือ MSG จนช่วงหนึ่ง เขาติดยา ติดเหล้า จนไม่สามารถแสดงต่อไปได้ จากหนุ่มผู้รูปหล่อ กลับกลายเป็นคนอ้วนฉุ เพราะฤทธิ์เหล้า เท่าที่จำได้เขาต้องเข้าสถานบำบัดอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ฝีมือการเล่นแย่ลง คนวิจารณ์อย่างหนัก บางคอนเสิร์ตเขาถึงขั้นเอากีตาร์เขวี้ยงฟาดลงพื้น เพราะเล่นไม่ได้ดังใจสั่ง เนื่องจากอาการของเขากำเริบ

จนล่าสุดเขาได้รับการรักษาและออกทัวร์คอนเสิร์ตได้ตามปกติเมื่อสองสามปีนี้เอง จึงอยากหนุนใจว่าคุณอาจล้มแต่วันหนึ่งจะลุกขึ้นมาได้ และพวกเราจะต้อนรับคุณครับ

Visitor counter