วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

ชีวิตไม่ได้วัดแค่ความฉลาด

ชีวิตไม่ได้วัดแค่ความฉลาด

ในปัจจุบัน เราไม่ได้วัดคนแค่ความฉลาด IQ เท่านั้น สมัยก่อน เราวัดความเก่งด้วย แค่IQ อัจฉริยภาพ หรือไอคิว (1Q) เพราะชีวิตที่สุดยอด ในมุมมองพระคัมภีร์ มองที่ความสัมพันธ์กับพระเจ้าและสุขภาพ อารมณ์ (ผลพระวิญญาณ) และมนุษยสัมพันธ์ หากคนมีไอคิวดีเด็กฉลาดแต่เข้าสังคมไม่ได้ ทำงานกับคนอื่นยาก ก็ไม่มีประโยชน์ที่ จะฉลาด เพราะ เป็นคนเห็นแก่ตัว ล้ำเส้น สิทธิของผู้อื่น หรือเป็นคนที่สุขภาพไม่แข็งแรง อยากจะให้ดูพระวจนะของพระเจ้าสองตอนด้วยกัน

ลูกา 2:40 พระกุมารนั้นก็เจริญวัยแข็งแรงขึ้น ประกอบด้วยสติปัญญาและพระคุณของพระเจ้าอยู่กับท่าน

3ยอห์น 1-5ท่านที่รัก ข้าพเจ้าอธิษฐานขอให้ท่านมีพลานามัยสมบูรณ์ และเจริญสุขทุกประการ อย่างจิตวิญญาณของท่านจำเริญอยู่นั้น ……เมื่อพวกพี่น้องบางคนได้มาและเป็นพยานถึงชีวิตอันคงเส้นคงวา (อดทน) ของท่าน ตามที่ท่านได้ประพฤติตามสัจจะ (จริยธรรม) นั้นไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้ข้าพเจ้าปีติยิ่งกว่านี้……ประพฤติตามสัจจธรรม ท่านที่รัก เมื่อท่านกระทำสิ่งใดให้พี่น้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้แก่แขกที่มาบ้าน ก็เป็นที่แสดงความภักดีของท่าน

สรุปได้ว่า คนที่มีไอคิวดี หรือจะสร้างเด็กที่ฉลาด ต้องสร้างเสริมด้านอารมณ์ สุขภาพ การบังคับตนเองที่เป็นผู้ใหญ่ด้วย 1ทิโมธี 4:12 อย่าให้ผู้ใดหมิ่นประมาทความหนุ่มแน่นของท่าน แต่จงเป็นแบบอย่างแก่คนที่เชื่อทั้งปวง ทั้งในทางวาจาและการประพฤติ ในความรัก ในความเชื่อ และในความบริสุทธิ์

วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

วินัยใหม่ พลังความคิด-ตอน ไวรัสทางความคิด

ความสับสนเกิดขึ้นจากการไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไร ทำอย่างไร อะไรที่เป็นมาตฐาน ขอบเขตอยู่ที่ไหนตรงไหน ระดับไหน จะถือว่าถูกต้องอยู่ที่ระดับไหน ถือว่าผิดเอาอะไรเป็นมาตฐาน ตอนนี้ผมจะยกตัวอย่าง เรื่องง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน

ประการแรก เราต้องมีฐานข้อมูลที่ถูกในความคิดและจิตใจของเราก่อน เหมือนคอมพิวเตอร์ที่มี โปรแกรมหลักเพื่อปฎิบัติการ และโปรแกรมป้องกัน เพื่อการละเมิดลิขสิทธิ์และไวรัส เมื่อไหร่ เราใส่โปรแกรมผีที่มักซ่อนสปายแวร์หรือไวรัสเข้าไป มันจะฟ้อง ป้องกัน และไม่ยอมรับโปรแกรมเหล่านี้ ให้เข้าไปทำงานในคอมพิวเตอร์ของเราได้ แล้วโปรแกรมหลักและโปรแกรมป้องกันนี้คืออะไรล่ะ

“สภษ12:8 คนจะได้คำชมเชยตามสามัญสำนึกที่ดีของเขา แต่คนที่ความคิดตลบตะแลงก็เป็นที่ดูหมิ่น”
พระวจนะตอนนี้สอนเราว่า สามัญสำนีกที่ดีนำสู่การประพฤติที่ดี แล้วหากประพฤติดี ก็จะมีผู้ชมเชย จากผลการประพฤตินั้น การประพฤติที่ดีเกิดจากสามัญสำนึกที่ดีในชีวิต เราจะสร้างสามัญสำนึกที่ดีได้อย่างไรล่ะ มีสามทางครับ มีวิธีสร้างง่าย ๆ คือ เราต้องมีความคิดสว่าง คิดสะอาด คิดสงบ

คิดสว่าง คือ สิ่งที่ท่านคิดนั้น เมื่อท่านนำความนั้นเอามาเล่าในความสว่างใครก็รับได้ สามารถเอามาพูดแล้วคนไม่สะดุด ไม่ตกใจ ไม่อับอาย ไม่ผิดต่อคุณความดี คุณธรรม ความสว่างคือความดี ความมืดคือความชั่ว สิ่งใดที่แอบทำใคความมืด แอบคิดในความืด หลบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่ถือว่าคิดแบบคนมีความสว่างคับ

คิดสะอาด คือ คิดเรื่องสะอาดไม่สกปรก ลามก ไม่ผิดศิลธรรม หรือกฎหมาย คิดแล้วไม่ต้องมาสารภาพบาป หรือละอายใจทีหลัง เล่าให้ใครฟัง ก็ไม่ต้องกลัวว่าผู้คนจะดูถูกดูหมิ่นในความนี้

คิดสงบ คือ เรื่องที่คิดแล้วหากใครได้ยิน ใครรับฟังความคิดของเราแล้วก็เกิดความสงบ ไม่เดือดร้อนเป็นไฟให้เกิดความวุ่นวาย และที่สำคัญตัวเราคิดแล้ว เราก็เกิดความสงบสุขในใจ เล่าเรื่องนี้แล้ว ทุกคนสบายใจ สงบสุข แบบนี้ต้องหาทาง และฝึกเรียนรู้ครับ

เห็นหรือยังครับ หากเรามีมาตฐานทางความคิดแล้วอะไรที่กำลังคิดมันไม่สว่างไม่สะอาด ไม่สงบ เราก็ไม่คิด เราก็มีมาตฐานเดียว ในการคิดก็จะง่ายต่อการตัดสินใจ ละเลือกที่จะทิ้งหลายต่อหลายเรื่องที่มันแวะมาเยี่ยมในสมองของเรา ครับ จำไว้ อย่ารับแขกแปลกหน้าที่ไม่ได้เชิญ ที่ไม่สว่าง ไม่สะอาด ไม่สงบเลย

วันอังคารที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2553

ตอนต้องมีขอบเขตบางเรื่องในการคิด

สภษ.27: 19 “ในน้ำ คนเห็นหน้าคนฉันใด ความคิดของคนก็ส่อคนฉันนั้น”

เราต้องสร้างระบบความคิดของเราให้ดี เหมือนเราจะประกอบรถยนต์คันหนึ่ง เราต้องรู้ว่าควรจะมีสามส่วนใหญ่ ๆ คือ เครื่องไฟฟ้า อุปกรณ์อะไหล่ที่จะนำมาประกอบเป็นรถ และสุดท้ายอุปกรณ์ที่จะใส่พวกเชื้อเพลิง สามส่วนนี้จะทำให้รถวิ่งไปได้ แต่หากว่าเราเอาอะไรที่ไม่ใช่ส่วนประกอบใส่รวม ๆ เข้าไปไม่คัดแยก เช่นใส่อุปกรณ์ใบพัดสำหรับครื่องบิน หรือใบพายสำหรับเรือแจวเข้าไปในรถ มันคงจะรกมากกว่าเป็นรถ และมองไม่ออกว่าสิ่งที่เราจะสร้างคืออะไร

เหมือนกันชีวิตที่พระเจ้าสร้างเรามา มีสามส่วน คือ จิตใจ ร่างกาย จิตวิญญาณ เราควรมีความคิดที่เป็นอาหารที่ทำให้สามส่วนเจริญขึ้น นั่นคือ ความเชื่อในศาสนาที่ทำให้เรามีคุณธรรม ทำความดีแก่ผู้อื่น มีความรักในตัวเองก็จะทำให้เราดูแลสุขภาพ และละทิ้งสิ่งใดที่ทำให้เราคิด เราทำ เรามีอารมณ์ที่แย่ลง หรือทำในสิ่งที่เป็นอบายมุข และสุดท้ายก็คือ ความหวัง เป็นคนมีพลัง มีกำลังใจพร้อมที่จะต่อสู้ มีทัศนคติที่ดีและมองโลกด้วยความเป็นธรรม ไม่มองในแง่ดีจนเกินไปจนมองไม่เห็นความชั่วร้าย ไม่มองอะไรชั่วร้ายจนเกินไปจนไม่มีความสมดุลย์ครับ

ระบบความคิดที่ดีนั้น มักจะมาจากการมีความรู้ ความเข้าใจ หรือมีฐานข้อมูลที่ดี เรื่องนี้เคยกล่าวไปแล้ว แต่ตอนนี้จะแนะนำสิ่งที่เป็นเครื่องตัดสินใจในการคิด

ประการแรก หากเราคิดเรื่องหนึ่งเรื่องใด เราคิดสิครับว่า เรื่องนี้จะทำให้เราเจริญขึ้นด้วยอารมณ์ ปัญญา หรือนำไปปฎิบัติแล้วจะทำให้ดีขึ้นไหม

อีกประการหนึ่ง คือ สิ่งที่คิดผิดจริยธรรมไหม และสิ่งที่คิดจิตใจได้ฟ้องผิดหรือขัดแย้งในตัวเองหรือเปล่า อีกอย่างในเมื่อเราเป็นคริสตชนเรื่องนี้สำคัญ หากพระเยซูคริสต์ทรงคิดเรื่องนี้พระองค์จะคิดแบบเราหรือเปล่าครับ เสมือนสนามฟุตบอลที่มีการแข่งขัน หากไม่มีเส้น ไม่มีกรรมการ หรือไม่มีกติกา นักฟุตบอลคงเตะฟุตบอลไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีที่สิ้นสุด โดยไม่มีโกลล์เป็นเป้าหมาย อีกกี่ปีพวกเขาจะเล่นจนจบการแข่งขัน ความคิดของเราก็เป็นแบบนั้น ครับ ต้องมีเส้นขีดชัดเจน

วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2553

ตอน ความรู้สู้ปัญญาไม่ได้การบำบัด ตอนที่ 20 วินัยใหม่ พลังความคิด

หมวดการบำบัด ตอนที่ 20 วินัยใหม่ พลังความคิด
ตอน ความรู้สู้ปัญญาไม่ได้

ความคิดของเรา ก็เหมือนกล่องเปล่า ๆ เล็ก ๆ หากเราเอาทรายใส่ลงไปในกล่อง แล้วเทน้ำลงไปในกล่องทราย น้ำก็จะซึมลงไปมันก็หายไป หากเราวางรากฐานโดยเอาดินเหนียวใส่ลงไปในกล่อง เวลาเอาน้ำเทลงไปมันก็จะจับตัวเป็นก้อนและหากเอามานวดปั้นเป็นรูปอะไรก็ได้ เพราะดินเหนียวจะทำปฎิกริยากับน้ำคือ ทำให้แข็งตัวเหมือนกัน หากเราเอากรวดใส่ในกล่องนั้น เวลาเทน้ำลงไป น้ำก็คงแยกกรวดกับน้ำไม่ผสมผสานกันได้ เพราะมันเป็นสะสารคนละชนิดกัน

หากความคิดเรา เป็นทรายละเอียดอ่อน หากมีเรื่องราวอะไรที่ดีไม่ดีมา มันก็ซีมเข้าไปในความคิด หมด เราก็รับไปหมดสุดท้ายก็วุ่นวาย แต่หาก เราเอาดินเหนียวใส่ เมื่อเจอน้ำก็เกิดการผสมผสานกันปั้นเป็นรูปทรงอะไรสักอย่างก็ได้ หรือหากเป็นหินก็ต่างก็อยู่กันในกล่องแต่ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ต่างก็เป็นขยะที่รกสมองรกความคิดทั้งคู่ ด้วยเหตุนี้เอง เราต้องมีฐานข้อมูลที่ดีใส่ลงไปในสมอง สิ่งนั้นก็คือ ความรู้และปัญญา (ดินเหนียว)

ความรู้ต่างกับปัญญาอย่างไร? หลายคนมีความรู้ท่องได้ อ่านแล้ว มาหลายตำราหลายเล่ม หลายสัมนา รอบรู้หมด แต่คนมีปัญญาคือสามารถนำความรู้มาประยุกต์ ใช้ นำไปปฎิบัติได้อย่างช่ำชอง พลิกแพงให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวันและช่วยเหลือผู้อื่น คนมีความรู้อ้างอิงตำราต่าง ๆ ได้ แต่คนมีปัญญา ประยุกต์วิธีการนำไปใช้ได้ ก็คือคนมีความรู้คือความฉลาดอยู่ที่สมอง แต่คนมีปัญญาคือคนมีความเฉลียวมีไหวพริบ อยู่ที่เซนส์ ประสบการณ์

แต่ความรู้กับปัญญาต้องไปด้วยกัน บางคนมีปัญญาช่างคิด เก่งเรื่องคิดแต่ไม่มีฐานข้อมูลในเรื่อง ความรู้ก็คิดได้ตามปัญญาแคบ ๆ บางคนมีความรู้มากแต่ไม่มีการใช้ปัญญา ก็ได้ใช้ความรู้อย่างแคบ ๆ เหมือนกัน สรุปคือ เราจะมีปัญญามากแค่ไหน ก็เท่ากับฐานความรู้มากด้วยครับ

เราจำเป็นต้องมีความรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรู้ความเข้าใจ ทางความเชื่อ ในชีวิตคริสเตียนที่ถูกต้อง ความรู้เรื่องพระเจ้า จริยธรรมจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ผ่านทางคำสอน ของผู้นำคริสตจักรในวันอาทิตย์ ผ่านทางสื่อต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันเป็นเรื่องที่ง่ายดาย จงแสวงหาเพราะอยู่ที่ใจของเราต่างหากจะหิวกระหายมากน้อยแค่ไหน เพราะในความคิดของเรา จำเป็นต้องมีฐานข้อมูลความรู้ที่ถูกที่สุด คือ พระคำพระเจ้าครับ

“สภษ18: 15 ใจที่มีความคิดย่อมหาความรู้ และหูของปราชญ์แสวงความรู้”

การแสวงหาปัญญาเพื่อ ความกระจ่าง ความเข้าใจในความรู้ หลายคนมีความรู้แต่ไม่มีปัญญา แล้วเราจะมีปัญญาได้อย่างไร

การมีปัญญาเกิดขึ้นจาก การเอาความรู้ขยายความรู้เอาความรู้จากที่มี มาขยายความรู้จากอีกที่ที่รับ หรือจากการได้ฟัง พูดคุยกับผู้ที่มีประสบการณ์ ผู้ที่เคยทำปฎิบัติมาก่อน หรือเกิดจากประสบการณ์ของเราเองที่ได้พบ สะสมมาก ๆ ยิ่งขึ้น เกิดจากความเข้าใจ ดังนั้นเราจะให้ความรู้งอกงามจนเป็นปัญญาได้นั้น มีปัจจัยหลายทางครับ ส่วนสำคัญที่สุดคือ การฟัง การได้ทำ และการได้เรียนจากผู้รู้ที่รู้มากกว่า

สภษ 14: 33 ปัญญาอาศัยอยู่ในความคิดของคนที่มีความเข้าใจแต่ปัญญานั้นไม่ประจักษ์ในใจของคนโง่

สภษ18: 2 คนโง่ไม่เพลิดเพลินในความเข้าใจ แต่เพลิดเพลินในการแสดงความคิดเห็นของตนเท่านั้

เมื่อเรามีฐานข้อมูลทางความคิดแล้ว คือ ความรู้และปัญญา ตอนนี้เมื่อเราคิดอะไร ก็เป็นความคิดที่มาจากปัญญา เราก็จะมีความคิดที่ไร้ความสับสน วุ่นวาย ไร้ไวรัส ความมืด ความสกปรก และความไม่สงบ เพราะเรารู้ว่าอะไรคือพิษในความคิด อะไรคือ อาหาร อะไรคือสิ่งที่ควรคิดเพื่อชัยชนะครับ


วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

หมวดวินัยชีวิต ตอน สมรภูมิทางความคิด

หมวดวินัยชีวิต ตอน สมรภูมิทางความคิด

สมองบางครั้งก็เหมือนทะเลที่หลับ มันไม่มีอะไรเลย บางครั้งก็เหมือนสวรรค์ ช่างมีอะไรที่ฝันมากมาย บางครั้งเหมือนกับโต๊ะอาหารพระราชา ที่มีอาหาร น่ากิน น่าลิ้มลอง อันโอชะ แต่ที่แย่ที่สุด เมื่อสมอง เริ่มกลายมาเป็นสมรภูมิรบ และผู้ที่สู้รบก็คือเราเองต่อสู้เราเองในสมอง

กองทัพแห่งความดี ต่อสู้รมควัน เพื่อความสุขที่จะตามมาของร่างกายและจิตใจ ส่วนกองทัพแห่งความชั่วร้าย ก็พยายามเอาชนะเพื่อจะทำตามกิเลส ของเนื้อหนัง

เราจะให้ฝ่ายใดชนะ อันนี้น่าคิดและคิดง่ายครับ กองทัพไหนใหญ่กว่าเข้มแข็งกว่าก็จะชนะ นั่นย่อมหมายถึง ท่านสะสมกองกำลังฝ่ายไหนในสมอง และส่งเสบียงอาหารเพื่อเลี้ยงดูกองทัพฝ่ายไหนมาก กองทัพฝ่ายนั้นก็มีกำลังมากและมีโอกาสชนะแน่นอน และในสมองของเรามีแต่กองทัพคุณธรรม และกองทัพของโจรที่สะสมกำลังทุกวัน ๆ ละนิดวันละน้อย

เราจะสะสมกองกำลังกองทัพแห่งคุณธรรมได้อย่างไร และเพื่อชนะเท่านั้น สิ่งแรกคือท่านต้องฝึกทำความดี ทีละลำดับ เรียนรู้ค่อย ๆ เป็นค่อยไป

สอง ท่านต้องฝึกกองทัพของท่านให้เข้มแข็ง คือ การทานอาหารฝ่ายจิตใจ จิตวิญญาณ คือ พระคัมภีร์ อ่าน หนังสือ คำสอนจากซีดี ที่ทางคริสตจักรขาย หรือร้านหนังสือคริสเตียน

สาม ท่านต้องสร้างภูมิคุ้มกัน คือ ปฎิเสธความคิดใดที่ไม่ถูกต้อง ต่อต้าน สู้ทันที

จำไว้ครับ สู้ ๆ เท่านั้น และท่านต้องร้อนรน ทหารที่เฉื่อยชาจะถูกโจมตีได้ง่าย ทหารที่ร้อนรน เตรียมพร้อมรุก จะไม่ค่อยตายในการต่อสู้ครับ และการต่อต้านอีกอย่างคืออย่าเห็นด้วยเด็ดขาดกับสิ่งที่ไม่ดี ให้กล้าปฎิเสธ

แค่นี้ท่านก็จะสามารถยุติสงคราม หรืออาจจะไม่ต้องมีก่อรัฐประหารในสมองเลยก็ได้ เพราะท่านต่อต้านกำราบมันตั้งแต่มันเริ่มยิง อาวุธชีวภาพทางความคิดเข้ามา ก็

วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2553

หมวดวินัยชีวิต ตอนกล้าคิดแตกต่าง

หมวดวินัยชีวิต ตอนกล้าคิดแตกต่าง

หัวข้อนี้อาจจะขัดแย้งกับบุคลิคของคนไทยนะครับ เพราะพวกเราถูกปลูกฝังค่านิยมและวัฒนธรรมที่เกรงใจ ไม่กล้าขัดใจผู้อื่น ไม่ขัดแย้ง เพราะรักความสงบ กลัวเสียน้ำใจ แต่บางครั้งเรื่องราว คำพูดที่ได้ยินมามันไม่ถูกต้องเสียทั้งหมด และอาจเป็นขยะของความคิด เราก็รู้อยู่แก่ใจ และมักจะทำเฉย หรือนั่งเงียบ รับฟัง ไม่กล้าปฎิเสธไม่รับความคิดนี้ เพราะหลายสาเหตุ ดังข้างต้นที่ได้กล่าว

กล้าคิดอีกมุมมองที่แตกต่างเป็นเรื่องที่เราต้องกล้า กระโดดออกจากกล่องความคิดเก่า ๆ กล้าคิดอะไรที่แตกแขนงออกไป หากเราไม่ทำแบบนี้ ทำแบบอื่นที่คนอื่นไม่ทำ แต่ถูกต้องล่ะ คิดแบบไม่ต้องจำกัด ว่ามีแต่หนึ่งบวกสามได้สี่ แต่หากหนึ่งครึ่งบวกสองครึ่งละได้สี่ได้ไหม เราจะหาทุกวิถีทางที่จะหาทางหลีกเลี่ยงการกำเริบจากอาการของบาดแผลของเรา หรือเราอาจจะหาทางที่จะเอาชนะทุกทางจากวิถีที่พ่ายแพ้ และหากมาร ความชั่วร้าย ใส่ความคิดเข้ามาในสมอง เราก็จะคิดทุกรูปแบบในการเอาชนะมัน หรือไม่ยอมรับฟังมัน

เราจะคิดแบบใหม่ว่าหากเราไม่ทำตามมัน แต่หาทางทำตามวิธีของเรา เพื่อชัยชนะเราต้องกล้า หรือหากใครให้ข้อมูล หรือพูดแนะแนวทาง วิจารย์ทางที่ไม่ถูก เราไม่เห็นด้วย เราก็ต้องกล้าที่จะไม่ยอม ที่จะคิดตาม เพราะเราต้องการวิถีใหม่ของเรา เพราะ ในความคิดทั้งหมด เราคิดที่ดี ถูกที่สุด เพราะอย่างไร พระวจนะพระเจ้า กล่าวว่า “แผนงานของดวงความคิดเป็นของมนุษย์ แต่คำตอบของลิ้นมาจากพระเจ้า” (สภษ16: 1)

หมวดวินัยชีวิต ตอนระวัง ความคิดแบบก้อนหิน

หมวดวินัยชีวิต ตอนระวัง ความคิดแบบก้อนหิน

หากจิตใจดี ความคิดเราก็ดี หากจิตใจไม่ดี ความคิดเราก็เป็นลบ เราจึงต้องรักษาใจของเรา มันเป็นตัวกำหนดทุกสิ่ง ความคิดบางคนเป็นแบบทราย เมื่อโดนน้ำก็ซึมหายไปเหมือนทะเลทรายเนเกบ เพราะเป็นทราย น้ำซึมหาย บางคนความคิดเป็นแบบดินเหนียว ปั้นได้ครับ ค่อย ๆ ปั้น ให้เข้าที่เข้าทาง ที่แย่ที่สุด ความคิดแบบก้อนหิน ปรับไม่ได้ปั้นไม่ได้ มีแต่ชนให้แตกหักกันไป รับข้อมูลอย่างไร ก็คิดแบบนั้น ไม่พินิจพิเคราะห์ ไม่ประยุกต์ เปรียบเทียบ

คนแบบก้อนหินจะมีซ้ายกับขวาเท่านั้น ได้หรือไม่ได้ ไม่มีการปั้นปรับ เพื่อความถูกต้องที่สุด เหมาะสมที่สุด เป็นอันตรายครับ

หากคนแบบนี้รับข้อมูลว่าเป้าหมายสูงสุดคือการที่มีความสุขเท่านั้น ด้วยวิธีไหนก็ได้ เขาก็จะเดินตามนั้น คิดแบบนั้น พูดแบบนั้น แต่ในความเป็นจริง บางเรื่องในชีวิตความสุขที่สุดไม่ใช่สนุกและตามใจเราเสมอไป เพราะความสุขที่สุด คือได้ทำสิ่งที่สมควร เหมาะสมที่สุด มันจึงจะนำมาสู่ความสุข

บางคนก็เป็นก้อนหินมหึมา คือยืดหยุ่นไม่ได้เลย ในแต่ละเรื่องที่รู้ ที่ฟังต้องตามนั้น ผมจะเปลี่ยนฮาร์ทดิสที่รองรับโปรแกรมในคอมพิวเตอร์ มันเปลี่ยนแปลง ยืดหยุ่นไม่ได้ เมื่อเปรียบกับ Software ซึ่งเอาเข้าเอาออกอัพเดทให้ดีขึ้นมาได้ เราควรเป็น Software ครับ เพราะชีวิตมันเป็นศิลป์ และเป็นศาสตร์ต้องเรียนรู้

หมวดวินัยชีวิต ตอน การให้คุณค่าในการคิด

หมวดวินัยชีวิต ตอน การให้คุณค่าในการคิด

1คร.9: 26 -27 “ส่วนข้าพเจ้าวิ่งแข่งโดยมีเป้าหมาย ข้าพเจ้ามิได้ต่อสู้อย่างนักมวยที่ชกลม
แต่ข้าพเจ้าก็ทุบตีร่างกายให้มันแข็งจนอยู่มือ เพราะเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนอื่นแล้ว ตัวข้าพเจ้าเองจะเป็นคนที่ใช้การไม่ได้”


หากพระคริสต์อยู่ในโลกนี้ พระองค์จะคิดอย่างที่เราคิดไหม หรือทุ่มเทเวลาในการคิดเรื่องที่เรากำลังคิดหรือไม่ หรือพระองค์จะให้คุณค่าอย่างที่ให้หรือเปล่า กับการเสียเวลาหมกมุ่นกับสิ่งที่เราทุ่มเทคิดทั้งกลางวัน กลางคืนแบบนี้ มันจะเป็นบุคลิคของพระองค์หรือไม่?

ค่านิยมของเราคือ การให้คุณค่าในสิ่งที่พระเจ้าทรงให้คุณค่าจะเป็นมาตฐานของเรา เราให้คุณค่ากับคำตำหนิมากกว่าคำชมหรือไม่ เพราะบางครั้ง เราหมกมุ่น ขมขื่น เสียใจต่อคำตำหนิของคนบางคน จนกินไม่ได้ นอนไม่หลับ แต่เราไม่สนใจคำชมดี ๆ ของใครสักคนที่เห็นคุณค่าในตัวเรา สิ่งนี้ก็บ่งบอกชัดว่าเราให้คุณค่ากับสิ่งที่ผิดเสียพลังสมอง เสียเวลา เสียกำลังใจ ไปหลายชั่วโมง

หรือการคิดให้คุณค่าสูงสุด ความคิดของคนทั่วไปคิดว่าทำอย่างไรก็ได้ขอให้สำเร็จ แต่คนที่มีพลังความคิดสร้างสรรค์ เขาจะคิดว่าทำอย่างไรให้สำเร็จและเจริญเติบโตไม่สร้างศัตรู ให้ความสำเร็จเพื่อทุกคน ไม่ใช่แค่สำเร็จ หรือคนทั่วไปคิดว่าทำสิ่งที่ถูกก็พอ แต่คนที่คิดเป็นจะคิดสูงกว่านั้นว่าถูกอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องสมควรแก่เวลาและโอกาสด้วย

เราลองคิดดูง่าย ๆ คำพูดหนุนใจดี ๆ หากมาในเวลาที่เหมาะสม มันจะดีกว่าสักเท่าไร นั่นคือสิ่งที่สมควร มันดีกว่าแค่ทำดี และหากเราเป็นคริสเตียนที่รักพระเจ้าล่ะ สิ่งที่ทำจะสูงกว่านั้นคือ มากกว่าถูกผิดหรือดีไม่ดี สมควรหรือไม่สมควร แต่ว่าในสิ่งที่เราจะทำนั้นเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ เพื่อจะได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง และอยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสม มันสูงกว่าสิ่งใดเพราะความคิดของเราถูกกำหนดคุณค่าอยู่ที่น้ำพระทัยพระเจ้าครับ

หมวดวินัยชีวิต ตอนต่อสู้ตัวเองผ่านความคิด

หมวดวินัยชีวิต ตอนต่อสู้ตัวเองผ่านความคิด

สมองบางครั้งก็เหมือนทะเลที่หลับไหล มันไม่มีอะไรเลย บางครั้งก็เหมือนสวรรค์ ช่างมีอะไรที่ฝันมากมาย บางครั้งเหมือนกับโต๊ะอาหารพระราชาที่มีอาหารน่ากินน่าลิ้มลองอันโอชะ แต่ที่แย่ที่สุดคือเมื่อสมองเริ่มกลายเป็นสมรภูมิรบ และผู้ที่สู้รบก็คือเราเองต่อสู้เราเองในสมอง

กองทัพแห่งความดีต่อสู้ร่วมกัน เพื่อความสุขที่จะตามมาของร่างกายและจิตใจ ส่วนกองทัพแห่งความชั่วร้ายก็พยายามเอาชนะเพื่อจะทำตามกิเลสของเนื้อหนัง

เราจะให้ฝ่ายใดชนะ อันนี้น่าคิดและคิดง่ายครับ กองทัพไหนใหญ่กว่าเข้มแข็งกว่าก็จะชนะ นั่นย่อมหมายถึง ท่านสะสมกองกำลังฝ่ายไหนในสมอง และส่งเสบียงอาหารเพื่อเลี้ยงดูกองทัพฝ่ายไหนมาก กองทัพฝ่ายนั้นก็มีกำลังมากและมีโอกาสชนะแน่นอน และในสมองของเรามีแต่กองทัพคุณธรรมและกองทัพของโจรที่สะสมกำลังทุกวัน วันละนิดวันละน้อย

เราจะสะสมกองกำลังกองทัพแห่งคุณธรรมได้อย่างไรให้ได้รับชัยชนะเท่านั้น สิ่งแรกคือท่านต้องฝึกทำความดีทีละลำดับ เรียนรู้ ค่อยเป็นค่อยไป

สอง ท่านต้องฝึกกองทัพของท่านให้เข้มแข็งคือ การทานอาหารฝ่ายจิตใจ จิตวิญญาณ คือ พระคัมภีร์ที่อ่าน หนังสือ คำสอนจากซีดี ที่ทางคริสตจักรขาย หรือร้านหนังสือคริสเตียน

สาม ท่านต้องสร้างภูมิคุ้มกัน คือ ปฎิเสธความคิดใดที่ไม่ถูกต้องต่อต้านสู้ทันที จำไว้ครับ สู้ ๆเท่านั้น และท่านต้องร้อนรน ทหารที่เฉื่อยชาจะถูกโจมตีได้ง่าย ทหารที่ร้อนรนเตรียมพร้อมรุก จะไม่ค่อยตายในการต่อสู้ครับ และการต่อต้านอีกอย่างคืออย่าเห็นด้วยเด็ดขาดกับสิ่งที่ไม่ดี ให้กล้าปฎิเสธ

แค่นี้ ท่านก็จะสามารถยุติสงคราม หรืออาจจะไม่ต้องมีก่อรัฐประหารในสมองเลยก็ได้ เพราะท่าน ต่อต้านกำราบมันตั้งแต่แรกเริ่ม พอมันเริ่มยิงอาวุธชีวภาพทางความคิดเข้ามาก็โดนสกัดกั้นแล้วครับ

หมวดวินัยชีวิต ตอน ต้องมีขอบเขตบางเรื่องในการคิด

หมวดวินัยชีวิต ตอน ต้องมีขอบเขตบางเรื่องในการคิด

สภษ27: 19 ในน้ำ คนเห็นหน้าคนฉันใด ความคิดของคนก็ส่อคนฉันนั้น

เราต้องสร้างระบบความคิดของเราให้ดี เหมือนเราจะประกอบรถยนต์คันหนึ่ง เราต้องรู้ว่า มีสามส่วนใหญ่ ๆ คือ เครื่องไฟฟ้า อุปกรณ์ อะไหล่ ที่จะนำมาประกอบเป็นรถ และสุดท้ายอุปกรณ์ที่จะใส่พวกเชื้อเพลิง สามส่วนนี้จะทำให้รถวิ่งไปได้ แต่หากว่า เราเอาอะไรที่ไม่ใช่ส่วนประกอบ ใส่รวม ๆ เข้าไปไม่คัดแยก เช่นใส่อุปกรณ์ใบพัดสำหรับเรือบิน ที่พายสำหรับเรือแจว มันคงจะเป็นรก มากกว่ารถ และมองไม่ออกว่าสิ่งที่เราจะสร้างคืออะไร

เหมือนกัน ชีวิตที่พระเป็นเจ้าสร้างให้เรามา มีสามส่วน คือ จิตใจ ร่างกาย จิตวิญญาณ เราควรมีความคิดที่เป็นอาหาร ที่ทำให้สามส่วนเจริญขึ้น นั่นคือความเชื่อในศาสนา ที่ทำให้เรามีคุณธรรม ทำความดีแก่ผู้อื่น ความรักในตัวเองก็จะทำให้เราดูแลสุขภาพ และละทิ้งสิ่งใดที่ทำให้เราคิด อารมณ์ที่แย่ลง หรือเป็นอบายมุข และสุดท้ายก็คือความหวัง เป็นคนมีพลัง กำลังใจ พร้อมจะต่อสู้ มีทัศนคติ มองโลกด้วยความเป็นธรรม ไม่ดีจนเกินไป จนมองไม่เห็นความชั่วร้าย ไม่มองอะไรชั่วร้ายจนเกินไป จนไม่มีความสมดุลย์ครับ

ระบบความคิดที่ดีนั้น มักจะมาจากการมีความรู้ ความเข้าใจ หรือมีฐานข้อมูลที่ดี เรื่องนี้เคยกล่าวไปแล้ว แต่ตอนนี้จะแนะนำสิ่งที่เป็นเครื่องตัดสินใจในการคิด ประการแรก หากเราคิดเรื่องหนึ่งเรื่องใด เราคิดสิครับว่าเรื่องนี้จะทำให้เราเจริญขึ้นด้วยอารมณ์ ปัญญา หรือนำไปปฎิบัติแล้ว จะทำไห้ดีขึ้นไหม

อีกประการหนึ่ง สิ่งที่คิดผิดจริยธรรมไหม และสิ่งที่คิด จิตใจ ได้ฟ้องผิด ขัดแย้งในตัวเองหรือเปล่า

อีกอย่างในเมื่อเราเป็นคริสตชน เรื่องนี้สำคัญ หากพระเยซูคริสต์ ทรงคิดเรื่องนี้ พระองค์จะคิดแบบเราหรือเรา

เสมือนสนามฟุตบอลที่มีการแข่งขัน หากไม่มีเส้น ไม่มีกรรมการ หรือกติกา นักฟุตบอล คงเตะฟุตบอลไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีที่สิ้นสุด แต่ไม่มีโกลล์เป็นเป้าหมาย อีกกี่ปีพวกเขาจะเล่นจบการแข่งขัน ความคิดของเราก็เป็นแบบนั้น ครับ ต้องมีเส้นขีดชัดเจน

วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2553

3 Michael ที่ลุกขึ่นมาได้ ตอน นักธุรกิจคริสเตียน Michael Ellis

3 Michael ที่ลุกขึ้นมาได้ ตอน นักธุรกิจคริสเตียน Michael Ellis

Michael ที่ลุกขึ่นมาได้ ตอน นักธุรกิจคริสเตียน Michael Ellis
คนนี้เป็นอาจารย์ผมแอง เพิ่งมาจัดการสัมนาที่เมืองไทยเดือนก.พ. 2010 นี้แอง ไมเคิลเคยมีความสัมพันธ์ที่แย่ครับ จุดเปลี่ยนแปลงคือ วันหนึ่ง เขาอยากเริ่มต้นกับพระเจ้าใหม่ หลังจากรับประสบการณ์การเยี่ยมเยียนจากพระเจ้า จึงอยากใช้เวลากับลูก และนัดลูก อยากคุยใช้เวลาด้วยกัน แต่ถึงเวาลูกชายกลับไม่สนใจและอยู่กับแฟนสาว จนเขาเรียกลูกมาพบส่วนตัว และแทนที่จะกล่าวตักเตือยนหรือตำหนิเขา กลับขอโทษลูกชาย พูดทำนองว่าหากที่ผ่านมาพ่อทำอะไรผิดไป หรือทำนองเป็นพ่อที่ไม่ดี ไม่ทำสิ่งที่ควรทำ พ่อขอโทษ

จากนั้นเขาก็บอกลูกชายว่าไปเถอะ จะไปเที่ยวก็ไป ปรากฎว่า ลูกชายกับแฟนสาวขับรถออกไปนอกบ้าน และสักครู่ก็โทรศัพท์มาหาเขา ที่อยู่บ้าน และบอกว่าจะกลับบ้านพร้อมแฟนสาว

พอมาถึงบ้าน ลูกชายร้องไห้ เพราะสิ่งที่พ่อทำวันนี้ มันทำให้เขาสำนึก ลูกชายและแฟนสาวกลับใจเป็นคริสเตียน เชื่อพระเจ้า ทำให้ไมเคิลอุทิศถวายตัวรับใช้พระเจ้า ในเรื่องการบำบัดเยียวยา และเดินทางไปสอนทั่วโลก

อยากหนุนใจว่าการขอโทษไม่ใช่เรื่องน่าอาย เหมือนไบเบิ้ลสอนเรา จงสารภาพบาปกันและกัน เพื่อเราจะรับการอภัย และเพื่อจะได้รับการรักษา การกลับสู่สภาพดี ปัจจุบันไมเคิลเปิดสถาบันสร้างผู้นำและเป็นวิทยากรไปทั่วโลก

สาม Michael มีอิทธพลต่อกำลังใจผม และเชื่อว่าจะมีต่อท่านทุกคนที่ได้อ่านนะครับ

3 Michael ที่ลุกขึ้นมาได้ ตอน มือเปียโน Michael W Smith

3 Michael ที่ลุกขึ้นมาได้ ตอน มือเปียโน Michael W Smith

คนนี้เป็นคริสเตียน คุณแม่เป็นแค่แม่บ้านรับทำความสะอาด ไมเคิลเล่นดนตรีร็อคมานาน และมีชื่อเสียงระดับหนึ่ง จนต่อมาเขาติดยาเสพติด จนต้องเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษา เมื่ออาการหายดีแล้ว เขาหันมาเอาจริงเอาจังกับพระเจ้า และเริ่มออกทัวร์คอนเสิร์ต ออกอัลบั้ม จนได้รับความนิยม คือ ชุด Worship ติดตามด้วยชุดที่สอง Worship Again และอีกหลายชุดตามมา

ผมอยากหนุนใจว่าวันนี้คุณอาจล้มลง และแย่สุด ๆ แต่วันหนึ่งเมื่อคุณกลับมาหาพระที่นั่งที่เปี่ยมด้วยพระคุณของพระเป็นเจ้า พระองค์พร้อมยกโทษให้อภัย และพวกเราก็จะให้โอกาสคุณเสมอเช่นกันครับ

ดูวีดีโอ เพลงที่พวกเรารู้จัก http://www.youtube.com/watch?v=HSTJqhlDQrY

3 Michael ที่ลุกขึ้นมาได้ ตอน มือกีต้าร์ที่เคยล้มเหลว

3 Michael ที่ลุกขึ้นมาได้ ตอน มือกีต้าร์ที่เคยล้มเหลว

วันนี้อยากหนุนใจ เรื่องคนชื่อ MICHAEL เพราะไมเคิล สามคนนี้ต่อไปนี้ มีอิทธิพล ต่อผมทั้งสามคนเลยครับ

คนแรกคือ ไมเคล แชงเกอร์ MICHAEL SCHENKER มือกีต้าร์ วงฟลายอิ้ง วี



เป็นมือกีตาร์ที่ผมโปรดปรานจนถึงวันนี้ ตอนผมเรียนอยู่ ม. 5 ก็ประมาณยี่สิบกว่าปีแล้ว เนื่องจากคุณพ่อเล่นดนตรี และผมก็ใฝ่ฝันจะเรียนดนตรี เลยต้องอ่านแต่หนังสือ ประวัติศาสตร์ดนตรี ฟังเพลงคลาสสิกมาตั้งแต่เด็ก พูดตรง ๆ ไม่เคยฟังเพลงอื่นเลย นอกจากเพลงเพื่อชีวิตของหงา คาราวาน

จนวันหนึ่งผมตัดสินใจซื้อเทปคลาสเสต สมัยนั้นยังไม่มีซีดีนะครับ ก็เลยชอบและฝึกเล่นกีตาร์ โซโล่ของไมเคิลมาตลอด ตอนนั้นยังไม่เป็นคริสเตียนครับ จากนั้นศึกษาประวัติทุกอย่างที่เป็นของไมเคิล สรุปคือ ชีวิตเขารุ่งโรจน์จากการที่ครั้งหนึ่งวงดนตรีชื่อ UFO วงร็อคเปิดการแสดง พอดีมือกีตาร์หายตัวไป ไมเคิลก็ขึ้นเล่นแทน ตอนอายุ 16 ปีกว่า

จากนั้นเขาก็โด่งดังเข้าร่วมวง scorpion ตั้งวงขึ้นเองคือ MSG จนช่วงหนึ่ง เขาติดยา ติดเหล้า จนไม่สามารถแสดงต่อไปได้ จากหนุ่มผู้รูปหล่อ กลับกลายเป็นคนอ้วนฉุ เพราะฤทธิ์เหล้า เท่าที่จำได้เขาต้องเข้าสถานบำบัดอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ฝีมือการเล่นแย่ลง คนวิจารณ์อย่างหนัก บางคอนเสิร์ตเขาถึงขั้นเอากีตาร์เขวี้ยงฟาดลงพื้น เพราะเล่นไม่ได้ดังใจสั่ง เนื่องจากอาการของเขากำเริบ

จนล่าสุดเขาได้รับการรักษาและออกทัวร์คอนเสิร์ตได้ตามปกติเมื่อสองสามปีนี้เอง จึงอยากหนุนใจว่าคุณอาจล้มแต่วันหนึ่งจะลุกขึ้นมาได้ และพวกเราจะต้อนรับคุณครับ

วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

การสร้างจิตวิญญาณให้เข้มแข็ง ตอนที่ 5 เข้มแข็งจากภายใน

การสร้างจิตวิญญาณให้เข้มแข็ง ตอนที่ 5 เข้มแข็งจากภายใน

หากเรามั่นคงในอุดมคติและทัศนคติที่ดีกับตัวเอง ภายในเรามั่นคง ภายนอกก็จะมั่นไปด้วย และสิ่งที่เราทำก็จะเป็นการทำซึ่งออกมาจากภายใน เราจะไม่กลัวไม่อาย ลองหันมาสร้างความเข้มแข็งภายในดูสิครับ โดยเราเริ่มจากจิตใจ

ผมจะยกตัวอย่างเรื่องราวในไบเบิ้ลให้ท่านฟัง เพราะพระเยซูได้เล่าเรื่องชายคนหนึ่งซึ่งเดินทางไปยังเมืองเยรีโค ขณะเดินทางได้ถูกโจรปล้นและทำร้าย ปรากฎว่ามีปุโรหิต (เปรียบนักบวช ผู้นำทางศาสนาของยิว) (สมัยนั้นชุดปุโรหิตเรียบร้อย มีรายละเอียดมากมาย) และมีกฎของปุโรหิต คือ ห้ามแตะต้องศพ ทั้งที่คนยิวด้วยกันที่ถูกทำร้ายจะตายหรือไม่ยังไม่รู้ แต่ด้วยการรักษารูปลักษณ์ภายนอก ปุโรหิตก็เดินผ่านไปไม่ใยดี

ต่อมามีคนเลวี (นักเขียนนักศาสนาผู้คัดลอกไบเบิ้ล หรืออาจารย์ผู้รอบรู้พระคัมภีร์) เห็นเข้า ก็คงเพราะมีความรู้มาก มีเหตุผลมากมายก็เดินผ่านไป เพราะเกรงว่าจะโดนหลอกทำร้าย ปล่อยให้คนยิวเหมือนกันนอนซมกับการบาดเจ็บต่อไปจากการถูกปล้น

จนสุดท้ายมีชาวสะมาเรีย ซึ่งเป็นชนชาติที่ชาวยิวรังเกียจ เรียกได้ว่าเปรียบแค่เท่ากับสุนัขตัวหนึ่ง เขามาเห็นชาวยิวคนนี้ เขาจึงพาไปหาหมอ และบอกกับหมอว่าเดี๋ยวเขาจะเดินทางกลับมา หากเงินไม่พอ เขาจะจ่ายให้คนป่วยทั้งหมดเลย แล้วตอนนี้พระเยซูถามคนที่ฟังว่าใครคือเพื่อนที่แท้จริง

ผมยกเรื่องนี้มาเล่า เพราะอยากให้เห็นตัวตนภายในของชาวสะมาเรียว่าแม้ภายนอก ชาวยิวจะให้คุณค่าเขาแค่สุนัขตัวหนึ่ง แต่ชาวสะมาเรียมองภายในว่าเขาคือคนคนหนึ่งที่ต้องทำดี นี่คือผลของความเข้มแข็งในจิตใจ ส่งผลเสริมสร้างบุคลิคภายนอกที่แท้จริง และเข้มแข็งในตัวตนอย่างแท้จริง

วันนี้จงเข้มแข็งภายในแล้วมันจะส่งผลต่อภายนอกครับ

การสร้างจิตวิญญาณให้เข้มแข็ง ตอน 4

การสร้างจิตวิญญาณให้เข้มแข็ง ตอนที่สี่ บุคคลิก สไตล์การทำงาน และจริยธรรม

คนเรามีสามเรื่องที่มักจะทำให้เสียความสัมพันธ์ คือ สไตล์การทำงาน หรือบุคคลิก การดำเนินชีวิต และสุดท้ายคือเรื่องจริยธรรม

เราจะเห็นว่าเวลาคนเราทะเลาะ เข้ากับเพื่อนร่วมงาน ไม่อยากทำงานกับหัวหน้าคนนี้ หรือเพื่อนคนนี้ ลองคิดดี ๆ ว่าเป็นเรื่องอะไร? เพราะสไตล์การทำงานของเขา หรือบุคลิคการทำงาน หรือเขาทำผิดจริยธรรม

ทำไม ?เพราะเรามักจะเลิก หยุด ท้อใจ หมดใจ กับบางคน ซึ่งอาจเป็นหัวหน้า หรือเพื่อนร่วมงานเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง
จิตใจของเราต้องปรับใหม่ คิดใหม่ ว่าขอให้งานสำเร็จ ถึงบุคคลิกจะไม่เหมือนกัน

แต่ละบุคคลิกก็จะมีวิธี สไตล์ การทำงานไม่เหมือนกัน หากจิตใจเราไม่เข้มแข็ง เราจะท้อใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง คือ บุคคลิกและวิธีสไตล์การทำงาน เลยทำให้เราพลาดจากเพื่อนร่วมงานที่หลากหลาย และเสริมสร้างอารมณ์จิตใจของเราได้ เพราะว่าสิ่งเดียวที่เรารับไม่ได้ คือ เขาทำผิด จริยธรรม หรือจรรยาบรรณ

แต่คนสมัยนี้แปลกครับ คนทำผิดจริยธรรมเราเฉย ๆ รับได้ แต่คนทำงานร่วมกับเราแค่ทำงานคนละสไตล์กับเรา หรือ บุคคลิกเล็ก ๆ น้อย ๆ มันรบกวนจิตใจเรา จนตัดขาดจากความเป็นเพื่อน หรือไม่อยากทำงานร่วมกับเขาไปเลย แบบนี้ไม่ดีครับ เพราะคนบางคน บุคคลิกเขาไม่ดี หรือ สไตล์การทำงานแตกต่างจากเรา แต่เขาไม่ทำร้ายจิตใจเราแน่ เพราะนั่นตือตัวตนของเขา และเขาก็ไม่ได้ทำผิดจริยธรรม ไม่ทำให้ท่านเดือดร้อน

วันนี้หัดคิดใหม่ เพื่อจิตใจท่านจะไม่ถูกรบกวนจากเรื่องหยุมหยิม ไม่ควรให้มันทำลายสุขภาพจิตของท่าน

วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553

การสร้างจิตวิญญาณให้เข้มแข็ง ตอน 3 อย่าตัดสัมพันธ์คนง่าย ๆ

การสร้างจิตวิญญาณให้เข้มแข็ง ตอนที่สาม อย่าตัดสัมพันธ์คนง่าย ๆ

“อย่าเผาสะพานทิ้ง” คำพูดนี้เป็นสำนวนคนจีนครับ เพราะเมื่อทหารไปรบด้วยความกล้าหึกเหิม เขาจะต้องชนะและไม่หนีกลับ จะไปยึดเอาข้างหน้าเป็นที่ตั้ง จึงตัดเผาสะพานทิ้ง บ่งบอกว่าจะไม่กลับมาอีก

แต่ว่าหากแพ้ล่ะ เขาจะกลับมาก็ไม่ได้ สะพานถูกเผาเสียแล้ว หรือในอีกทำนองหนึ่งเราประยุกต์ในเรื่องการคบค้าสมาคม เมื่อเราจะเปลี่ยนที่ทำงาน หรือเกิดการบาดหมางใจกับใครบางคน เราจะเผาสะพานทิ้ง โดยเปลี่ยนเบอร์ ลบเบอร์มือถือ อีเมล์ เลิกติดต่อทำไมครับ

เพราะวันหนึ่ง คนคนนั้นอาจเป็นเพื่อนที่หนุนจิต ชูใจ และใกล้ชิดที่สุดในยามคุณยากลำบาก และคนที่คุณคืดว่าเขาดีที่สุดอาจไม่อยู่ตอนนั้น เหมือนคำว่า “มิตรที่ใกล้ชิดบางทีสนิทกว่าพี่น้อง” แต่ ท่านอาจจะไม่ชอบ หรือไม่เห็นด้วยบางเรื่องของเขา ท่านกลับตัดความสัมพันธ์แบบไม่มีเยื่อใย แต่วันหนึ่งท่านท้อแท้ในจิตใจขึ้นมาล่ะ จะทำอย่างไร?

ดังนั้น จะออกจากงาน หรือย้ายที่อยู่ หรือจากกัน อย่าเผาสะพานทิ้ง รักษาสะพานนั้นไว้ เพราะวันหนึ่งท่านอาจจะต้องกลับมาหา หรือเดินข้ามสะพานนั้นอีกครั้งครับ

ดูเหมือนมันไม่ง่ายที่จะทำ แต่มันมีผลมหาศาล เพราะเขาเหล่านั้นอาจจะเป็นกำลังใจ และโอบรับท่านกลับมาอีกครั้งหนึ่งได้เช่นกัน

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2553

การสร้างจิตวิญญาณให้เข้มแข็ง ตอนที่ 2 หาคนที่รู้ใจเราดี

การสร้างจิตวิญญาณให้เข้มแข็ง ตอนที่ สอง หาคนที่รู้ใจเราดี

ชีวิตของมนุษย์ ประกอบไปด้วยสามส่วนด้วยกัน ส่วนแรก คือ ร่างกาย ส่วนที่สอง คือ จิตใจ และส่วนที่สาม คือ จิตวิญญาณ ลองคิดดูสิครับว่า หากเรามีร่างกายแต่ไม่มีวิญญาณ เราก็คือคนตาย แต่หากเรามีวิญญาณแต่ไม่มีร่างกาย เราก็คือวิญญาณ แต่หากเรามีวิญญาณ ร่างกาย แต่ไม่มีจิตใจ ชีวิตของเราจะกลายเป็นคนที่ไร้ความรู้สึก อารมณ์ เห็นอกเห็นใจ หรือรับรู้ การสัมผัสของร่างกาย เราจะเป็นคนที่แห้งแล้งมากเลยทีเดียว

หลายคนไม่เข้าใจว่า จิตใจมีผลต่อชีวิตมาก เหมือนคำที่กล่าวว่า “จิตใจที่ดี เหมือนยาวิเศษ” คนป่วย คนท้อใจ อยู่ในอาการเจ็บป่วยยาวนาน หากรับกำลังใจที่ดี ได้รับคำพูด หรือข่าวเรื่องราวที่เสริมสร้างเขา จิตใจก็จะหึกเหิม จะช่วยให้เขากล้าที่จะลุกขึ้นมา และกล้าที่จะทำบุกน้ำลุยไฟอย่างไหนก็ได้ เพราะเขารู้ว่าหากทำผิดพลาด หรือสำเร็จก็จะมีคนคนหนึ่ง คอยให้กำลังใจและปลอบใจเขา และตอนนี้เราจะมาคุยกันว่า เราจะให้อาหารด้านจิตใจได้อย่างไร

เรื่องแรกคือคนคนหตึ่ง ที่สเขาเป็นคนที่จะรู้สึกดีต่อท่าน คนที่คอยให้กำลังใจแก่ท่าน แม้ท่านล้มลง พ่ายแพ้ ท่านจะมีคนคนนี้ คอยให้กำลังใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าอยู่กับท่านตลอดเวลา หรืออยู่ด้วยกัน เขาอาจอยู่ที่ไหนก็ได้ ที่ท่านสามารถ เขียนอีเมล์ โทรศัพท์ หรือไปหา เขาจะต้อนรับท่านเสมอ วันนี้ท่านสร้างสัมพันธ์ ท่านมีคนคนนี้แล้วหรือยัง เพราะหากท่านยังไม่มีก็จงเริ่มสร้าง สัมพันธ์ กับใครบางคนเสียตั้งแต่วันนี้ครับ แล้ววันหนึ่งท่านจะไม่ผิดหวังเลย ในยามที่ท่านต้องการใครสักคนหนึ่ง

วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2553

การสร้างจิตวิญญาณให้เข้มแข็ง ตอน 1-การตั้งเป้าหมาย

การสร้างจิตวิญญาณให้เข้มแข็ง ตอน 1-การตั้งเป้าหมาย

ทุกวันนี้พวกเราทุกคนคงหนีไม่พ้นปัญหา อุปสรรคที่มีผลต่อจิต ใจของเรา มันส่งผลให้อารมณ์ของเราดีและไม่ดี และส่งผลต่อคนรอบข้างที่จะโดนกระทบต่อสิ่งที่เราแสดงออก คนที่มีจิตใจเข้มแข็งเท่านั้น จะเป็นผู้ทนต่อปัญหา สถานการณ์ที่กระทบเข้ามาเหมือนกับต้นไม้ที่เติบโตเต็มที่ รากแข็งแรง ต้นใหญ่มั่นคง เมื่อโดนฝน พายุ อากาศร้อน หนาว เย็น ย่อมคงทนได้ทุกฤดูกาล

แต่ต้นไม้ที่ไม่แข็งแรง ไม่ได้รับการดูแล รากแก้วไม่แข็งแรง ลำต้นไม่แข็งแรง ย่อมจะล้มลงง่าย ๆ ตายไปด้วยความร้อน อากาศ หรือช่วงขาดน้ำเพียงไม่กี่วัน

จึงอยากคุยวันนี้ว่า เราจะสร้างกำลังจิตใจให้แข็งแรงได้อย่างไร? เพราะไม่เช่นนั้นท่านจะอยู่ในโลกนี้ เหมือนต้นไม้ไม่แข็งแรง โดนลมพัดไปมาเหมือนคำสอนของเปาโล ผู้นำชาวยิว ที่กล่าวว่า “หันไปเห มาด้วยลมปากของมนุษย์” ก็คือ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตามคำชักจูงของคน ซึ่งเราไม่รู้ว่าคนนั้น จะพูดในสิ่งที่ถูกหรือผิดหรือไม่

แต่เมื่อคำพูดนั้นได้วิ่งเข้ามาในหู ถูกกลั่นกรองในสมอง ย่อมมีผลต่อจิตใจของเราและส่งผลต่ออารมณ์ของเราได้ จึงอยากหนุนใจว่าวันนี้หรือคืนนี้ที่ท่านกำลังอ่านบทความนี้ จงตั้งใจ ตั้งเป้าที่จะสร้างจิตใจ หรือวิตวิญญาณของท่านให้สมบูรณ์ แข็งแรง และ เติบโต

หรือผมอยากจะใช้คำหนึ่งว่าเป็นผู้ใหญ่ในจิตวิญญาณนะครับ จงจำไว้ เรากำหนดเองได้ ว่าจะให้จิตใจของเราเป็นอย่างไร? เพราะเราเป็นเจ้าของ ไม่ใช่สถานการณ์ หรือผู้หนึ่งผู้ใด

แล้ววันนี้ท่านกำหนด ตั้งเป้าหมายที่จะคิด จะเลือก จะฟัง สิ่งที่ดีให้เป็นอาหารแก่จิตใจของท่านหรือยัง แนะนำว่าควรเลือกรับแต่สิ่งที่ดีแก่จิตใจหรือจิตวิญญาณเท่านั้น เพราะเราเลือกได้ครับ

Visitor counter